Tuesday, December 29, 2015

วันสิ้นโลก



ลัทธิศาสนาอาซาทรู มองเห็นสัจธรรมที่คล้ายคลึงกับศาสนาพุทธครับ


นั่นคือ ไม่มีสิ่งใดคงอยู่เป็นนิรันดร์ แม้แต่โลกทั้งหลายที่จอมเทพโอดินทรงสร้างขึ้น ในที่สุดก็จะต้องถึงกาลดับสูญ โดยที่พระองค์เองก็ไม่ทรงมีพลังอำนาจเพียงพอที่จะหยุดยั้งได้




          วันสิ้นโลก หรือ รักนาร็อค (Ragnarok) ในเทพนิยายอาซาทรู มีปฐมเหตุจากการที่จอมเทพโอดินทรงรับยักษ์ โลคี (Loki) เข้าเป็นสมาชิกในอัสการ์ด ด้วยทรงพอพระทัยในไหวพริบปฏิภาณตามแบบยักษ์ซึ่งเขามีอยู่ โลคีนั้นมีชั้นเชิงเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว สิ่งที่เขาไม่มีก็คือความรู้จักผิดชอบ และความกล้าหาญเท่านั้น ทำให้เขาได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยามอยู่เสมอ

          โลคีนำเรื่องราวยุ่งยากมากมายมาสู่อัสการ์ด ทั้งเรื่องที่มีบทสรุปดีและไม่ดี แต่เหตุการณ์ที่จะนำไปสู่วันมหาวิบัติโลกอย่างแท้จริงเกิดขึ้นเมื่อเขาลักลอบสมสู่กับนางยักษ์ อังเกอร์โบดา (Angrboda) และมีลูกด้วยกัน 3 ตน ล้วนแต่เป็นจอมอสูรที่ไม่มีผู้ใดเอาชนะได้ ทั้ง พญางูโยร์มุนกันด์ (Jormungand) อสุรีครึ่งมนุษย์ครึ่งศพ เฮล (Hel) และ พญาสุนัขป่าเฟนเรียร์ (Fenrir)

จอมเทพโอดินทรงลงโทษ ด้วยการขว้างพญางูโยร์มุนกันด์ลงไปในมหาสมุทรแห่งมิดการ์ด ส่งเฮลไปครองแดนนรก ส่วนเฟนเรียร์นั้นทรงเลี้ยงไว้เพราะทรงชอบสุนัขป่า แต่ภายหลังมันก็เติบโตขึ้นเป็นสุนัขป่ายักษ์ มีความดุร้ายและกำลังอันมหาศาลจนไม่มีสิ่งใดควบคุมมันได้ เหล่าเทพต้องให้คนแคระทำโซ่วิเศษขึ้นมาจับมันไปพันธนาการไว้ในที่ห่างไกลจากโลกทั้งหมด โดยเทพแห่งสงคราม เทียร์ (Tyr) ต้องทรงสละพระหัตถ์ข้างหนึ่งของพระองค์เพื่อการนี้

สิ่งนี้ทำให้ความอดทนของโลคีจบสิ้นลง เขาคิดแก้แค้นโดยพุ่งเป้าไปที่ เทพบัลเดอร์ (Baldur) พระโอรสของจอมเทพโอดิน ผู้ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามทั้งปวง แม้ว่าพระองค์จะไม่เคยทรงให้ร้ายใดๆ กับเขาเลยก็ตาม         

เทพบัลเดอร์ทรงได้รับคำสัญญาจากทุกสิ่งในโลกว่าจะไม่ทำร้ายพระองค์ เหล่าเทพแห่งอัสการ์ดจึงสนุกกับการใช้พระองค์เป็นเป้าซ้อมอาวุธ เพราะเหตุว่าไม่มีอาวุธใดสามารถทำอันตรายพระองค์ได้ 


แต่โลคีล่วงรู้ว่า ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่มิได้สัญญาเช่นนั้น นั่นก็คือต้น มิสเทิลโท (Mistletoe : ไม้จำพวกกาฝากชนิดหนึ่ง) เขาจึงนำกิ่งของมันมาเสี้ยมให้แหลมทำเป็นปลายหอก และนำไปให้ เทพโฮเดอร์ (Hodur) ลองพุ่งเข้าใส่องค์เทพบัลเดอร์ องค์เทพแห่งความดีงามเมื่อต้องปลายหอกนั้นก็สิ้นพระชนม์




ความโศกเศร้าสุดที่จะพรรณนาครอบคลุมไปทั่วอัสการ์ด แต่ก็ยังมีความหวังเล็กน้อย นางพญานรกสัญญาว่าจะคืนชีวิตแก่องค์เทพบัลเดอร์ ถ้าหากทุกสิ่งในโลกร้องไห้เพื่อพระองค์ และทุกสิ่งก็ทำเช่นนั้นจริงๆ เว้นแต่โลคีซึ่งแปลงตัวเป็นหญิงชราคนหนึ่ง และปฏิเสธที่จะร้องไห้

ในที่สุด อัสการ์ดต้องสูญเสียทั้งเทพแห่งความดีงาม และ เทวีนันนา (Nanna) ชายาของพระองค์ ซึ่งตรอมพระทัยจนสิ้นพระชนม์ไปด้วยกัน

ความผิดของโลคีครั้งนี้ ไม่อาจได้รับการอภัย เขาถูกจับไปพันธนาการในสถานที่อันเร้นลับในมิดการ์ด โดยผูกตรึงไว้กับแผ่นหิน ด้วยลำไส้ของลูกชายคนหนึ่งของเขาเอง มีงูตัวหนึ่งถูกสาปตรึงไว้เหนือศีรษะ เพื่อคอยพ่นพิษใส่เขาตลอดไป





มรณกรรมของเทพบัลเดอร์ เป็นสัญญาณเริ่มต้นของรักนาร็อค เพราะพระองค์ทรงเป็นเทพแห่งแสงสว่าง ความดีงามและความจริง เมื่อไม่มีพระองค์ก็ไม่มีอะไรคานอำนาจความชั่วร้ายในมิดการ์ดได้

ผู้คนเริ่มฆ่ากันอย่างไร้เหตุผลและไร้เกียรติ สังคมมนุษย์เริ่มสับสนไปหมด พี่น้องสมสู่กันเอง แม้กระทั่งคนในครอบครัวเดียวกัน หรือเพื่อนที่สาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อกันก็ยังทรยศและฆ่าฟันกัน แผ่นดินโลกเนืองนองไปด้วยเลือดอันเกิดจากมูลเหตุที่ไร้ค่าที่สุด ทุกหนทุกแห่งเกลื่อนกลาดด้วยซากศพและความน่าสยดสยอง ชวนสังเวชใจยิ่งนัก

หลังจากนั้น โลกมนุษย์ก็ตกอยู่ในฤดูหนาวอันทารุณต่อเนื่องกันถึงสามปี ไม่มีแสงอาทิตย์ ทุกหนทุกแห่งปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง สิ่งมีชีวิตบนโลกล้วนอดอยาก ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง แม้แต่ผู้คนก็เปลี่ยนไปคล้ายสัตว์ มีแต่ความโหดร้ายป่าเถื่อน เมื่อสิ้นฤดูหนาว ความรักและความเมตตาก็หายไปจากมิดการ์ดตลอดกาล

ในที่สุด วันโลกาวินาศก็มาถึง สุนัขป่า 2 ตัวซึ่งนางยักษ์อังเกอร์โบดานำมาเลี้ยงไว้ และดำรงชีวิตจากการกินซากศพมนุษย์ที่ล้มตายลงทุกวัน บัดนี้เติบใหญ่ขึ้น มันทั้งสองอ้าปากมโหฬาร กินราชรถสุริยันและราชรถจันทรา ทั้งโลกตกอยู่ในความมืดมิดอย่างแท้จริง ไม่มีแม้แต่แสงดาวอีกต่อไป

และด้วยความมืดนั้นเอง พลังเวทมนต์ที่พันธนาการเหล่าอสูรทั้งหมดก็สลายสิ้น เฟนเรียร์หลุดออกจากโซ่วิเศษอย่างง่ายดาย โลคีหลุดออกจากคำสาปที่ตรึงเขามานานชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ พญามังกรนี๊ดฮูกก์ (Nydhogg) ที่คอยกินศพมนุษย์อยู่ใต้ดินกัดรากแก้วของอี๊กก์ดราซีล จนพฤกษาโลกสั่นสะเทือนถึงยอด ไก่ที่เกาะอยู่บนยอดไม้ส่งเสียงขันเตือนภัยเหล่าเทพและมนุษย์ถึงจุดจบ ขานรับด้วยเสียงไก่สีแดงแห่งนรกภูมิที่ขันเรียกนายหญิงของมัน และเสียงไก่ กูลลินคัมบี (Gullinkambi) ที่เกาะอยู่เหนือหอวัลฮัลลา ซึ่งเสียงของมันดังไปทั่วแดนสวรรค์

เสียงแตร กีออลล์ (Giall) ของ เทพไฮม์ดัลล์ (Heimdall) ผู้พิทักษ์สวรรค์ดังกึกก้อง คณะเทพเอเซียร์และเหล่านักรบมาประชุมกันที่วัลฮัลลาเพื่อเตรียมการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ในไม่ช้าเหล่าดวงวิญญาณแห่งวีรชนก็เคลื่อนผ่านประตูทั้ง 540 บานของวัลฮัลลาบานละ 800 ตน ยกทัพข้ามสะพานบีฟรอสต์สู่ทุ่ง วีกริด (Vigrid)

พญางูโยร์มุนกันด์สำเหนียกถึงความเป็นไปทั้งหมด มันบิดตัวอย่างแรงจนเกิดมหาอุทกภัยถล่มชายฝั่งทะเลและเกาะทุกแห่งในโลก คลื่นยักษ์สูงเท่าภูเขาสาดซัดเอา เรือนากิลฟาร์ (Nagilfar) ที่แสนจะน่ากลัวขึ้นมาลอยละล่องเหนือผิวน้ำ มันเป็นเรือที่เกิดจากเล็บของคนตายซึ่งญาติๆ ลืมตัดให้ก่อนทำพิธีศพ





เมื่อเรือนากิลฟาร์เกยหาด โลคีก้าวลงไปและบังคับมันไปสู่ทุ่งวีกริด โยร์มุนกันด์และเฟนเรียร์บุตรของเขามาสมทบระหว่างทาง พญางูยักษ์พ่นพิษทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า และพญาสุนัขป่าก็กลืนกินทุกชีวิตที่พานพบ

เมื่อมาถึงทุ่งวีกริด โลคีได้พบกับเรืออีกลำที่แล่นมาจากโยทูนไฮม์ เรือลำนั้นบรรทุกเหล่ายักษ์ทั้งหมดมาจนเพียบแปล้ เมื่อเรือทั้งสองบรรจบกัน พญางูยักษ์ก็เคลื่อนตัวโอบกองกำลังแห่งวัลฮัลลาทั้งหมดพร้อมทั้งพ่นพิษอย่างไม่หยุดยั้ง ขณะเดียวกัน เฮล นางพญานรกก็ผุดขึ้นจากรอยแยกบนแผ่นดิน พร้อมด้วย การ์ม (Garm) สุนัขแห่งนรก และดวงวิญญาณชั่วร้ายทุกดวงจากนิฟเฟลไฮม์

ในไม่ช้า พญามังกรนี๊ดฮูกก์ซึ่งยังมีเศษรากแก้วของพฤกษาโลกคาปาก ก็โผบินสู่โลกเบื้องบนเป็นครั้งแรก ซากศพมนุษย์ที่มันเก็บไว้ใต้ปีกสำหรับเคี้ยวเล่นหล่นเป็นสายๆ ลงสู่พื้นโลกอย่างน่าสะอิดสะเอียนที่สุด





กองกำลังของทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันอย่างนองเลือด คณะเทพเอเซียร์ ดวงวิญญาณของเหล่าวีรชน เหล่ายักษ์ และดวงวิญญาณบาปจากนรกที่เฮลพามา ต่างล้มตายเป็นใบไม้ร่วง จอมเทพโอดินเองก็ทรงต่อสู้กับพญาสุนัขป่าเฟนเรียร์อยู่นาน จนในที่สุดพระองค์ก็ทรงอ่อนแรงลง และถูกมันสังหารด้วยขากรรไกรอันกว้างใหญ่ของมัน





มหาเทพธอร์เผชิญหน้ากับพญางูโยร์มุนกันด์ พระองค์ทรงใช้ฆ้อนวิเศษประหารงูยักษ์ได้ แต่ด้วยพิษของมันที่พ่นออกมาราวกับห่าฝนอยู่ตลอดเวลา พระองค์ทรงพระดำเนินต่อไปได้อีกเพียง 9 ก้าวก็ล้มลงสิ้นพระชนม์

ทวยเทพ วีรชน ยักษ์และอสูรทั้งหลายต่างก็ต่อสู้จนล้มตายไปด้วยกัน ท้องทุ่งวีกริดเต็มไปด้วยซากศพอันน่าสยดสยอง จากนั้นพญายักษ์ เซิร์ท (Surt) ผู้สังหารมหาเทพเฟรย์ ก็แกว่งดาบอัคคีของมันเกิดเป็นเปลวเพลิงแผดเผาโลกทั้งเก้า ก่อนที่ผืนแผ่นดินทั้งหมดจะจมหายไปใต้มหาสมุทรอันเดือดพล่าน





          หลังจากวันมหาวิบัติรักนาร็อคผ่านพ้นไปแล้ว แผ่นดินก็ผุดขึ้นอีกครั้งจากท้องทะเล โลกใหม่นี้เต็มไปด้วยความสดชื่นเขียวขจี ธิดาแห่งสุริยเทวีองค์เดิมขับราชรถสุริยันขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง พฤกษาโลกแตกยอดอ่อนแทงทะลุพื้นดิน และในที่สุดก็แผ่กิ่งก้านสาขาดังที่เคยเป็นมา

มนุษย์ชายหญิงคู่เดียวที่รอดจากยุคโลกาวินาศ คือ ลีฟท์ (Lift)และ ลีฟท์ธราเซียร์ (Liftrasir) ซึ่งหนีเข้าไปแอบซ่อนอยู่ในโพรงของอี๊กก์ดราซีลก็ออกมา เพื่อสร้างพลเมืองให้แก่โลกเช่นกัน





          เหล่าเทพเจ้ามิได้สิ้นพระชนม์ทั้งหมด เทพวีดาร์ (Vidar) โอรสแห่งจอมเทพโอดิน ผู้สังหารเฟนเรียร์เป็นการแก้แค้นให้พระบิดาในช่วงแห่งกาลมหาวิบัติ ปรากฏพระองค์ขึ้นอีกครั้ง และทรงพบกับ เทพวาลี (Vali) เทพโมดี (Modi) และ เทพมักนี (Magni) ผู้ทรงคว้าฆ้อนวิเศษของมหาเทพธอร์มาได้ก่อนมหาอัคคีจะผลาญโลก แม้แต่เทพแห่งความดีงาม บัลเดอร์ รวมทั้งเทพบิดรโฮเนียร์ และเทพโฮเดอร์ก็ทรงฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง

          เทพทั้งเจ็ดองค์ประทับนั่งลงบนทุ่ง อีดา (Ida) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นแดนสวรรค์อัสการ์ด ต่างก็ทรงระลึกถึงเกียรติยศและชื่อเสียงของบรรดาทวยเทพที่สิ้นพระชนม์ไป และทรงสร้างสรวงสวรรค์ขึ้นใหม่ ทรงสร้าง มหาปราสาทกีมลี (Gimli) ให้ใหญ่โตกว่ามหาปราสาทกลัดส์ไฮม์องค์เดิม

องค์เทพบัลเดอร์ ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นพระเป็นเจ้าสูงสุดอย่างสมบูรณ์แล้ว ทรงรับหน้าที่ปกครองสวรรค์และโลกมนุษย์ ด้วยพลังอำนาจแห่งความดีงามของพระองค์ ยังผลให้โลกใหม่เต็มไปด้วยสันติสุข ไม่มีการทำร้ายกัน ไม่มีความชั่วร้ายในจิตใจผู้คน ไม่มีความอดอยากแร้นแค้น หรือความเจ็บไข้ได้ป่วย

มันคือยุคทองที่มวลมนุษย์ใฝ่ฝันโดยแท้ละครับ...

ผู้สันทัดกรณี (ที่นับถือศาสนาคริสต์) เกี่ยวกับเทวปกรณ์สแกนดิเนเวีย ส่วนมากเห็นพ้องกันว่า โลกใหม่ที่ปกครองโดยจอมเทพบัลเดอร์ ก็คือโลกที่เราอยู่กันในปัจจุบันนี่แหละครับ และจอมเทพบัลเดอร์ ก็คือ พระเยซู ในความเชื่อของชาวนอร์สนั่นเอง

คงเป็นการยากนะครับที่จะสืบค้นว่า ความเห็นผิดเช่นนี้เริ่มต้นมาจากไหน

เพราะถ้าคิดตามหลักสามัญสำนึกง่ายๆ นะครับ จนกระทั่งสิ้นยุคไวกิ้งเมื่อพันปีมาแล้ว ชาวนอร์สยังคงบูชาคณะเทพเอเซียร์ ในฐานะที่พระองค์ยังทรงมีพระชนม์อยู่ และปรารถนาที่จะได้รับการคัดเลือกไปวัลฮัลลาหลังสิ้นชีวิต เพื่อเข้าร่วมรบกับเหล่าเทพในวันสิ้นโลก

แล้วถ้าหากว่า รักนาร็อค เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีตกาล ก่อนที่จะเกิดโลกยุคของเรา สิ่งที่กล่าวมานี้ก็จะเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง จริงมั้ยครับ?

ถ้าจอมเทพบัลเดอร์ทรงเป็นผู้ปกครองโลกของเราในปัจจุบัน ชาวไวกิ้งก็ควรบูชาพระองค์ แทนที่จะเป็นจอมเทพโอดิน มิใช่หรือ?

เพราะฉะนั้น ในเมื่อข้อเท็จจริงก็คือ จอมเทพโอดิน มหาเทวีเฟรยา มหาเทพธอร์ และคณะเทพเอเซียร์ ยังคงได้รับการบูชาอยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ และหลายๆ คนในยุคของเรายังคงปวารณาตัวว่า จะใช้ชีวิตอย่างมีค่าที่สุด เพื่อจะได้ไปสู่หอวีรชนวัลฮัลลา หลังจากความตายมาถึง วันมหาวิบัติโลกหรือรักนาร็อคจึงเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นครับ





และเมื่อเป็นเทพนิยาย ก็เป็นอันว่าไม่ต้องคาดหวังว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นไปตามที่ผมบรรยายมาแล้วทุกตัวอักษร

เพราะต่อให้พื้นฐานมันเกิดจากญาณหยั่งรู้ หรือไม่ก็คำบอกเล่าจากองค์เทพเจ้า ผ่านผู้วิเศษบางคน มันก็ถูกต่อเติมเสริมแต่งด้วยจินตนาการมนุษย์เป็นอันมาก

และการสิ้นพระชนม์ของจอมเทพโอดิน รวมทั้งเทพเจ้าองค์สำคัญทั้งหมด โดยให้เทพรุ่นลูกหลานที่ไม่มีบทบาทมาก่อน ช่วยกันสร้างโลกใหม่แทน ดูยังไงๆ ก็ไม่มีเหตุผลรองรับครับ ไม่มีที่มาที่ไป


แต่ใครที่สนใจเทพนิยายนอร์ส ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องเหล่านี้ครับ แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ตาม




……………………………



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

Tuesday, December 22, 2015

คติการสร้างโลก ในลัทธิศาสนาอาซาทรู





ชาวนอร์สมีปุราณวิทยา อันว่าด้วยกำเนิดของโลกและจักรวาล เทพเจ้า ยักษ์ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ และสรรพสิ่งเป็นของตนเอง ซึ่งไม่เหมือนกับเทพนิยายกรีก-โรมัน แต่กลับมีเนื้อหาหลายอย่างที่เหมือนกับคติการสร้างโลกของจีนอย่างน่าแปลกใจ ทั้งที่ไม่มีหนทางซึ่งชนชาติทั้งสองจะถ่ายทอดคติในเรื่องเช่นนี้แก่กันและกันได้เลยครับ

คติอันว่าด้วยปฐมกาลของชาวนอร์สกล่าวว่า ก่อนที่โลกทั้งหลายจะเกิดขึ้น ทุกหนทุกแห่งมีแต่ความว่างเปล่า เรียกว่า กินนุงกากัพ (Ginnunggagap)

ต่อมาในท่ามกลางความว่างเปล่านี้ ก็เกิดมีผืนน้ำแข็งและทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ไพศาล ขนาบด้วยดินแดนสองแห่งตามแนวเหนือใต้

ดินแดนทางเหนือนั้นเต็มไปด้วยหมอกและความเย็นยะเยียบ เรียกว่า นีฟเฟลไฮม์ (Nifelheim)

          ส่วนดินแดนทางใต้นั้นตรงกันข้าม กล่าวคือเต็มไปด้วยความร้อนแรงด้วยกำลังพระเพลิงที่เผาผลาญอยู่ทั่วไป จนยากที่จะมีผู้ใดอยู่ได้ แดนอัคคีนี้เรียกกันว่า มูสเพลล์ไฮม์ (Muspellheim)

          ประกายไฟจากมุสเพลเฮมบางส่วนได้ตกลงบนผืนน้ำแข็งที่อยู่ตรงกลาง นานวันเข้าก็ทำให้น้ำแข็งบริเวณนั้นละลาย ก่อกำเนิดเป็นผู้ให้ชีวิตสูงสุด นั่นคือ แม่วัววิเศษ โอดูมลา (Audhumla)




แม่วัววิเศษไม่สามารถจะหาอาหารได้จากที่ใด จึงได้แต่เลียกินก้อนน้ำแข็งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด เมื่อนางเลียก้อนน้ำแข็งไปนานเข้า ก้อนน้ำแข็งนั้นก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น และในที่สุดก็กลายบรรพชนของยักษ์และทวยเทพทุกองค์ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับร่างกายอันใหญ่โตมโหฬารที่สุดบนพื้นพิภพ และร่างกายนั้นประกอบด้วยเกล็ดน้ำแข็ง

เขามีนามว่า อีเมียร์ (Ymir)

พญายักษ์อีเมียร์อาศัยน้ำนมจากแม่โคเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต จนเวลาได้ผ่านไปอีกนาน เกล็ดน้ำแข็งบนร่างกายของเขาจึงแตกออกเป็นพวกยักษ์รุ่นแรก อสุรกายเหล่านี้มีทั้งเพศชายและหญิง มีขนาดแตกต่างกัน เรียกรวมๆ ว่า รีเม (Rime)

หลังจากอีเมียร์เกิดขึ้นแล้ว แม่โคโอดูมลายังคงเลียก้อนน้ำแข็งต่อไป ก้อนน้ำแข็งอีกก้อนที่นางเลียอยู่เป็นเวลา 3 วันได้กลายเป็นบรรพชนของเหล่าเทพเจ้า หรือ อาซา (Asa) ซึ่งแตกต่างจากพวกรีเมอย่างสิ้นเชิง

พราะขณะที่รีเมเป็นยักษ์ที่มีร่างกายใหญ่โตน่าสะพรึงกลัว บรรพชนแห่งเทพที่เกิดขึ้นทีหลัง กลับทรงมีเทวลักษณะที่แข็งแรงและงดงามมาก เป็นสิ่งสวยงามสิ่งแรกที่เกิดขึ้นในจักรวาลเชียวละครับ และอาซาองค์นี้ ทรงมีพระนามว่า บูรี (Buri)

เทพบรรพชน บูรี พระองค์นี้ ได้ทรงคัดเลือกยักษิณีตนหนึ่งเป็นชายา และมีพระโอรสด้วยกัน ทรงมีพระนามว่า บอร์ (Bor) ต่อมา เทพบอร์ก็ทรงเลือกนางยักษิณีที่สวยงามที่สุดในขณะนั้นคือ เบสท์ลา (Bestla) เป็นชายา

จุดกำเนิดของโลกต่างๆ เริ่มต้นจากตรงนี้ละครับ ทั้งเทพบอร์และยักษิณีเบสท์ลา ช่วยกันเพาะต้นอ่อนของพฤกษาโลก อี๊กก์ดราซีล (Yggdrasil)  ซึ่งเปรียบเสมือนแกนหลักแห่งพลังงานและธาตุทั้งหมด เพื่อยึดโลกต่างๆ ที่จะเกิดต่อไปในอนาคตเข้าไว้ด้วยกัน





พฤกษาโลกตามเทวปกรณ์อาซาทรูนี้ จึงหมายถึงแกนโลก ซึ่งทำหน้าที่ค้ำจุนภพภูมิทั้งหมดให้เกิดดุลยภาพ หากพฤกษาโลกถูกทำลาย ภพภูมิทั้งหลายจะพินาศสิ้น นั่นหมายถึงวันโลกาวินาศ ซึ่งชาวนอร์สเรียกว่า รักนาร็อค (Ragnarok)

เมื่อทรงได้รับความสำเร็จในการเพาะต้นอ่อนของพฤกษาโลก ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เทพบิดร บอร์และยักษิณีเบสท์ลาทรงให้กำเนิดโอรสสามองค์ สำหรับตัดสินชะตาโลก นั่นคือ จอมเทพโอดิน (Odin) เทพบิดรโฮเนียร์ (Honir) และ เทพบิดรโลเธอร์ (Lothur)




พญายักษ์อีเมียร์รู้ทันทีว่า ศัตรูของเขาได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว

ดังนั้น มหาสงครามอันยิ่งใหญ่ครั้งแรกในครั้งปฐมกาลจึงบังเกิด พญายักษ์อีเมียร์ ผู้มีร่างกายใหญ่โตยิ่งกว่าขุนเขาทั้งหมด ได้พยายามใช้พละกำลังอันดุร้าย เข้าสัประยุทธ์กับจอมเทพและอนุชาทั้งสอง จนแดนน้ำแข็งสะเทือนเลื่อนลั่น

แต่ในที่สุด พญายักษ์ก็เป็นฝ่ายปราชัย จอมเทพและพระอนุชาทั้งสองทรงได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในสมรภูมินั้น




          ความตายของอีเมียร์แทบจะทำให้รีเม หรือเผ่าพงศ์ยักษ์ทั้งหมดถึงกาลพินาศไปด้วย ถ้าหากว่าจอมเทพโอดินจะไม่ทรงไว้ชีวิตยักษ์บางตนที่ฉลาดและรอบรู้ อย่าง แบร์เกลเมียร์ (Bergelmir) และภรรยาเอาไว้

เหตุที่จอมเทพทรงตัดสินพระทัยดังกล่าว ก็เพราะพระองค์ทรงถือว่า ความฉลาดรอบรู้เป็นคุณสมบัติอันสูงส่งนั่นเอง

ในเทพนิยายของชาวนอร์ส จอมเทพโอดินทรงเมตตา และให้โอกาสคนฉลาดรอบรู้เสมอครับ แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาภายหลังทุกที เพราะคนฉลาดพวกนั้น (หรือลูกหลานของเขา) ไม่มีศีลธรรมกำกับนั่นเอง

          และจากซากศพของพญายักษ์อีเมียร์ จอมเทพโอดินและพระอนุชาช่วยกันสร้างโลกให้สมบูรณ์และเพียบพร้อมขึ้น เรียกว่า มิดการ์ด (Midgard : สเวนสคาว่า มิดกวร์ด)





พระองค์เสกเลือดของพญายักษ์ให้กลายเป็นแม่น้ำและทะเล เนื้อหนังกลายเป็นผืนดิน เพื่อพยุงรากแห่งพฤกษาโลกให้มั่นคงและแผ่ร่มเงาปกคลุมทั่วพิภพ ทรงเสกกระดูกอีเมียร์ให้กลายเป็นภูเขา ป่นฟันทั้งหมดลงกลายเป็นก้อนหินและก้อนกรวด ถักทอพฤกษานานาพรรณจากเส้นผม และเนรมิตผืนหญ้ากว้างใหญ่ขึ้นจากขนคิ้วของยักษ์ผู้วายชนม์

ส่วนกะโหลกอันใหญ่โตมโหฬารนั้น ทั้งสามองค์ทรงช่วยกันยกขึ้นวางบนเสาสี่ต้น เพื่อให้ส่วนโค้งภายในกะโหลกนั้นเป็นท้องฟ้าที่ครอบโลก ทรงสร้างหมู่เมฆทั่วผืนนภากาศนั้น เพื่อให้โลกใหม่ของพระองค์สดชื่นด้วยฝนตามฤดูกาล

และทรงสร้างคนแคระ สำหรับคอยรักษาเสาทั้งสี่ที่ค้ำยันท้องฟ้า มีชื่อว่า นอร์ธรี (Nordhri) โอสทรี (Austri) ซูธรี (Sudhri) และ เวสทรี (Vestri) ประจำเสาทางทิศเหนือ ทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตก ตามลำดับ

นี่ละครับ กำเนิดโลกที่เราอาศัยกันอยู่ทุกวันนี้

          จากนั้น เทพทั้งสามเสด็จไปมุสเพลล์ไฮม์ ทรงนำสะเก็ดไฟดวงใหญ่ที่มีแสงสุกปลั่งเป็นสีทองมาเสกเป็นราชรถสุริยัน หรือพระอาทิตย์ และทรงสร้างสุริยเทวีนามว่า โซล (Sol) ให้เป็นสารถี โคจรราชรถนั้นข้ามโค้งฟ้าในหัวกะโหลกแห่งพญายักษ์ ซึ่งเมื่อโคจรครบ 1 รอบก็เท่ากับเวลาเช้าถึงเย็น




และทรงนำสะเก็ดไฟที่มีขนาดรองลงมา ที่กำลังเย็น และมีสีขาวกว่า มาเสกเป็นราชรถจันทรา หรือ พระจันทร์ ทรงสร้างจันทรเทพ มานี (Mani) เป็นผู้บังคับราชรถนั้นโคจรข้ามโค้งฟ้ายามกลางคืนเพื่อให้แสงสว่างแทนพระอาทิตย์ และทรงนำสะเก็ดไฟอีกมากมาเสกเป็นดาวเคราะห์ และดาวฤกษ์ เพื่อประดับผืนฟ้ายามราตรีให้แพรวพราย

ตรงนี้ผมอยากให้สังเกตกันไว้หน่อยนะครับ เทววิทยาทั่วโลกเขายกให้พระอาทิตย์เป็นเพศชาย พระจันทร์เป็นเพศหญิง มีแปลกไปบ้าง อย่างอียิปต์และอินเดียที่ให้พระจันทร์เป็นเพศชายด้วย แต่พระอาทิตย์ก็ยังเป็นชายอยู่ดี มีแต่คติของชาวญี่ปุ่น กับชาวนอร์สนี่ละครับที่ให้พระอาทิตย์เป็นเพศหญิง

เรื่องนี้นักเทววิทยาอธิบายกันอ้อมแอ้มๆ ไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไหร่ แต่มีสำนักหนึ่งตีความว่า เพราะพระอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์ของกาลเวลา และกาลเวลาในทรรศนะของชาวนอร์สสัมพันธ์กับผู้หญิงครับ มีคณะเทวีควบคุมโดยเฉพาะ เรียกว่า นอร์นส์ (Norns) ผมว่าการตีความนี้มีเหตุผลดี

          เมื่อมีผืนแผ่นดินอันอุดมและเพียบพร้อมแล้ว จอมเทพและพระอนุชาจึงทรงสร้างมนุษย์ชายหญิงคู่แรกขึ้นจากต้นไม้จำพวกมะกอก (Ash) และต้นเอล์ม (Elm) ประทานชื่อว่า อัซค์ (Ask) และ เอ็มบลา (Embla)






ชายหญิงคู่แรกนี้ถือกำเนิดจากต้นไม้ที่แตกต่างกัน แต่ก็มีร่างกายที่สวยงามคล้ายกับเทพเจ้ามาก จอมเทพโอดินทรงมีพระประสงค์ให้ทั้งคู่มีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวง พระองค์จึงประทานจิตวิญญาณแก่พวกเขา


เทพบิดรโฮเนียร์ประทานความรู้สึก เทพบิดรโลเธอร์ประทานการพูด การเห็น และสัมผัสต่างๆ ทั้งสองจึงนับเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากเทพเจ้า และเป็นบรรพชนของมนุษย์ทั้งหมดในมิดการ์ด

เทพนิยายนอร์สเล่าต่อไปว่า ในช่วงเวลาอันยาวนาน ที่จอมเทพโอดินทรงสร้างสรรพสิ่งแก่โลกใหม่ของพระองค์ พวกยักษ์รุ่นใหม่ที่สืบเชื้อสายจากแบร์เกลเมียร์ก็มีจำนวนมากขึ้น บรรดายักษ์เหล่านี้ ต่างเฝ้ารอวันเวลาที่จะเข้าทำลายโลกใหม่ที่จอมเทพสร้างสร้างขึ้น เพื่อแก้แค้นแทนบรรพบุรุษของตนอย่างเงียบๆ

พระเป็นเจ้าเองก็ทรงตระหนักในเรื่องนี้ แต่เมื่อพวกมันยังไม่ลงมือทำอะไร พระองค์ก็ไม่ปรารถนาจะกวาดล้างพวกมันเป็นครั้งที่สอง เพราะทรงเห็นว่าในหมู่ยักษ์ทั้งหลายก็มีทั้งยักษ์ที่ดีและชั่วปะปนกัน หากทรงประหารเหล่ายักษ์ทั้งหมดด้วยเทวานุภาพ ยักษ์ที่ดีจะพลอยถูกขจัดไปด้วย

ที่สำคัญก็คือ ในจำนวนยักษ์เหล่านั้น มีบางส่วนที่จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับการสร้างโลกใหม่ของพระองค์ ซึ่งจะต้องตกแต่งขัดเกลาต่อไปอีกมากไงครับ

องค์เทพบิดรจึงทรงนำกระดูกที่เหลืออีกส่วนหนึ่งของพญายักษ์อีเมียร์มาทำเป็นกำแพงกั้นหมู่ยักษ์ให้ออกไปอาศัยอยู่ในอีกดินแดนหนึ่งต่างหาก เรียกว่า แดนยักษ์ หรือ โยทูนไฮม์ (Jotunheim) หรือ อู๊ทการ์ด (Utgard : สเวนสคาว่า อู๊ทกวร์ด)





แต่แม้จะมีกำแพงอันเป็นเทือกเขาสูงใหญ่กั้นไว้แล้ว เหล่ายักษ์ที่มีฤทธิ์มากบางตน ก็ยังแปลงร่างเข้ามาลอบสมสู่กับลูกหลานของอัซค์และเอ็มบลา โดยรอดพระเนตรพระกรรณขององค์จอมเทพไปได้แทบทุกครั้ง

ทำให้มนุษย์รุ่นต่อๆ มา ต้องมีมลทินจากความชั่วร้ายและบาป ที่ปะปนเข้ามาในสายเลือด แม้จะถือกำเนิดขึ้นมาอย่างบริสุทธิ์ก็ตาม

จอมเทพโอดินไม่อาจจะแก้ไขปัญหานี้ได้ พระองค์จึงทรงสร้างเทวโลกสำหรับเป็นที่อยู่ของเหล่าทวยเทพซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญที่เข้ามาคุ้มครองและปกป้องมนุษย์ในมิดการ์ด เทวโลกหรือแดนสวรรค์นั้นก็คือ อัสการ์ด ตามที่ผมโพสต์ไปแล้วครับ

คติการสร้างโลกที่บรรยายมาทั้งหมดนี้ ว่ากันว่า สนอร์รี สเตอร์ลูสซัน (Snorri Sturlusson) เป็นคนลำดับเรื่องและแต่งเติมเสริมต่อไว้มากครับ โดยมีอิทธิพลของศาสนาคริสต์และลัทธิศาสนากรีกโบราณเข้าไปปะปนมากพอสมควร แต่ที่จอมเทพโอดินทรงได้รับสมญาว่า บิดาแห่งสรรพสิ่ง ก็มีตำนานโบราณเล่าเรื่องที่ทรงสร้างดินแดนหรือภพภูมิต่างๆ กระจัดกระจายกันมาแต่เดิมเหมือนกั

เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ว่าสนอร์รีแต่งขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่ก็ยากที่จะบอกได้ว่า ของเก่ามีอยู่แค่ไหน อีกทั้งในทางเทววิทยาจริงๆ แล้ว เรื่องการสร้างโลก หรือพระเป็นเจ้าผู้สร้างโลกนี้ ไม่มีจริงหรอกครับ ทั้งหมดเป็นจินตนาการของมนุษย์ ผสมผสานตำนานเก่าแก่ประจำชนชาติชนเผ่าทั้งสิ้น

          ผมก็เลยนำมาเรียบเรียงให้อ่านกัน เพื่อประดับความรู้ในทางเทววิทยาอาซาทรูเท่านั้นครับ ไม่ใช่เพื่อให้เชื่อ หรือว่านับถือเป็นจริงเป็นจัง เพราะเรื่องราวเหล่านี้ไม่สำคัญอะไรเลยในทางเทวศาสตร์ เราสามารถบูชาจอมเทพโอดิน และใช้รูนส์ได้โดยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้เลยครับ

เพียงแต่เทพนิยายที่โรแมนติกแบบนี้ มักจะถูกอ้างอิงเสมอในสื่อต่างๆ ของชาวตะวันตก ที่เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมที่นับถือศาสนาเทพนิยาย อย่างศาสนาคริสต์ จนกระทั่งเป็นแรงบันดาลใจของนวนิยาย Lord of The Ring ด้วย ดังที่รู้ๆ กันอยู่ละครับ แถมยังมีอาซาทรูเออร์ หรือโอดินนิสต์บางสำนักพลอยเชื่อตามนี้กันอีกต่างหาก

          ดังนั้น รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหามครับ





……………………………



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

Friday, December 18, 2015

แดนสวรรค์ในลัทธิศาสนาอาซาทรู



ใครที่สนใจเรื่องราวของเทพปกรณัมอาซาทรู ต้องเคยเห็นคำว่า อัสการ์ด, วัลฮัลลา, วัลคีรีส์ไม่มากก็น้อย ผมเองก็เคยเขียนถึงไปบ่อยๆ ครับ คราวนี้จะขอพูดถึงเป็นกิจจะลักษณะซักที

อัสการ์ด แปลว่า อุทยานแห่งทวยเทพ (God’s Garden) คือเทวโลกหรือแดนสวรรค์ในลัทธิศาสนาอาซาทรู ที่จอมเทพโอดินทรงสร้างเพื่อเป็นที่อยู่ของเหล่าทวยเทพ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการคุ้มครองและปกป้องมนุษย์ในมิดการ์ด หรือโลกของเรานั่นเองครับ


Viking Castle by Reza


อัสการ์ดเป็นดินแดนแห่งความสวยสดงดงาม อยู่สูงขึ้นไปบนกิ่งก้านพฤกษาโลกเหนือท้องฟ้าแห่งมิดการ์ด และเชื่อมกันด้วยสะพานสายรุ้ง บีฟรอสต์ (Bifrost)

จอมเทพโอดินทรงสร้าง มหาปราสาทกลัดส์ไฮม์ (Gladsheim) ขึ้นที่นี่ พร้อมด้วยเทวบัลลังก์อันศักดิ์สิทธิ์ในฐานะองค์ราชาแห่งสรวงสวรรค์ ซึ่งมีชื่อว่า ลี๊ดสเคียลฟ์ (Hlidskialf)

ทุกวันพระองค์จะเสด็จประทับ ณ เทวบัลลังก์นี้ เพื่อเฝ้ามองสรรพสิ่งในแดนมนุษย์ พระองค์ยังมีอีกาสีดำสนิทสองตัวเป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งทรงรับสั่งให้โบยบินไปทั่วโลก นำข่าวสารต่างๆ กลับมาถวายรายงานแด่พระองค์


Odin's Throne by Burning Brush Gallery

นอกเหนือจากการเฝ้าคอยตรวจตราความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ จอมเทพก็ทรงให้กำเนิดเทพเจ้าขึ้นทีละองค์ โดยทรงจำแลงพระวรกายไปลอบสมสู่กับยักษิณีทั้งหลายที่งดงาม เทพเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ต่างพากันเข้ามาถวายการรับใช้พระองค์ในอัสการ์ด โดยแบ่งเบาภาระหน้าที่ในการควบคุมดูแลให้ฤดูกาลรวมทั้งความเจริญงอกงามของสรรพชีวิตต่างๆ ได้ดำเนินไปตามครรลองของมัน ตามทิพยานุภาพของแต่ละองค์

คณะเทพเหล่านี้เรียกรวมกันว่า เอเซียร์ (Aesir)




จากเทวบัลลังก์ในมหาปราสาทกลัดส์ไฮม์ ในฐานะที่ทรงเป็นบิดาแห่งสรรพสิ่ง จอมเทพโอดินทรงใช้เวลาแทบทั้งหมด เฝ้าถนอมและปกปักรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่มากที่สุด คือมวลมนุษย์

บรรพชนรุ่นแรกของมิดการ์ด ที่เป็นลูกหลานของพระองค์ในช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นสั่งสมอารยธรรม ทุกคนทำงานหนัก และเป็นสุขกับพืชผลทางการเกษตรที่ได้รับ ไม่มีใครคิดถึงสงครามหรือการต่อสู้แก่งแย่งกัน

แต่พระเป็นเจ้าก็ไม่อาจจะทรงปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปได้ แม้ว่าพระองค์จะทรงพอพระทัยกับความสงบสุขเช่นนี้ก็ตาม

เพราะถึงแม้ว่า สันติสุขจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่เมื่อถึงวันโลกาวินาศ อันถือว่าเป็นการสัประยุทธ์ครั้งสุดท้ายระหว่างความดีและความชั่วทั้งปวง เผ่าพงศ์ยักษ์ อันเป็นตัวแทนของความชั่วที่เตรียมพร้อมจะเข้าทำลายโลกนั้น มีกำลังและความแข็งแกร่งมากมายครับ


ขณะที่วงศ์เทพเอเซียร์อันเป็นตัวแทนของความดีงาม มีจำนวนน้อยจนไม่พอจะปกป้องโลก

จอมเทพโอดินจึงทรงมีพระดำริว่า พระองค์จำต้องทรงมีกองทัพนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด ไว้คอยรับมือกับกองทัพยักษ์ในช่วงเวลาแห่งการทำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่นั้น

พระองค์จึงทรงมีเทวโองการให้ เทพไฮม์ดัลล์ (Heimdall) ไปยังมิดการ์ด เพื่อประทานความรู้ต่างๆ โดยเฉพาะในด้านการสู้รบ




ดังนั้นในเวลาต่อมา มวลมนุษย์จึงกระทำสงครามระหว่างกันเพื่อป้องกันตัว หรือเพื่อรวบรวมทรัพยากรและกำลังคนของอีกฝ่ายหนึ่ง ถือว่าเป็นสิ่งที่มีเกียรติที่จะได้ต่อสู้อย่างกล้าหาญตามวิถีแห่งสวรรค์ เพราะเป็นไปตามพระประสงค์แห่งพระเป็นเจ้า

และดวงวิญญาณของผู้ที่มีคุณสมบัติดีที่สุดในหมู่คนเหล่านั้น ซึ่งก็คือผู้กล้าที่ได้รับการขนานนามว่า วีรชน หรือ ไอน์แฮร์ยาร์ (Einherjar) จะได้รับการคัดเลือกโดยจอมเทพโอดิน และคณะเทวีแห่งสงครามหรือ วัลคีรีส์ (Valkyries) ซึ่งเป็นเทพบริวารของพระองค์ เพื่อเป็นกองทัพอันเกรียงไกรแห่งอัสการ์ด ที่จะใช้ต่อสู้กับกองทัพยักษ์ ในวันมหาวิบัติโลก

วัลคีรีส์ ตามเทวตำนานคือเหล่าธิดาของจอมเทพโอดิน ทุกองค์สวมชุดนักรบซึ่งประกอบด้วยหมวกสำริดดุนลาย มีปีกนกอินทรีสองข้างแบบเดียวกับจอมเทพโอดิน เกราะทำด้วยสำริดดุนลายปิดลำตัวช่วงบนและต้นแขน ชายเกราะด้านล่างคลุมตลอดสะโพก และทับกระโปรงยาวกรอมเท้า แขนท่อนล่างไปถึงหลังมือมีสนับแขนทำด้วยแผ่นสำริดดุนลาย และมีสนับแข้งเป็นแผ่นสำริดดุนลายเช่นกันปิดถึงหลังเท้า ด้านหลังคลุมผ้าสีน้ำเงิน สีเขียว สีทองหรือสีดำ มักถือหอกและโล่กลมแบบนักรบไวกิ้งด้วย


Vakyrie by Iribel ภาพจาก http://www.deviantart.com


ที่ผทบรรยายมานี้ ก็คือภาพลักษณ์ของนักรบหญิงไวกิ้ง ที่เรียกกันว่า Shieldmaiden นั่นเองครับ ในวัฒนธรรมของพวกนอร์สจะมีกลุ่มนักรบหญิงที่ว่านี้ที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคน พวกเธอมักถูกเรียกว่าเป็นวัลคีรีส์ในท่ามกลางสมรภูมิ และต่างก็มีบทบาททัดเทียมชายทั้งในการออกไปสู้รบในดินแดนอื่น หรือเพื่อป้องกันบ้านเมืองของตน

รูปภาพของวัลคีรีส์ในงาน art สมัยใหม่ บางส่วนนิยมเขียนให้มีปีกนกสีดำอยู่เบื้องหลัง เพราะนางฟ้าแห่งสงครามเหล่านี้จริงๆ แล้วเหมือน กินรี ในตำนานไทยเราครับ ผมจะนำมาเล่าโดยละเอียดอีกที ถ้าไม่ลืมนะ  

ตามความเชื่อของชาวไวกิ้ง ไม่ว่า ณ ที่ใดที่เหล่ามนุษย์กำลังต่อสู้กันอย่างนองเลือด จอมเทพโอดินและกองทัพวัลคีรีส์นับพันจะปรากฏเหนือท้องฟ้าเบื้องบน ในลักษณะของกลุ่มเมฆหมอกดำทะมึน พร้อมกับเสียงหวีดหวิวของพายุอันน่าสะพรึงกลัว พระเป็นเจ้าและเหล่าเทพนารีของพระองค์จะทรงคัดเลือกดวงวิญญาณของผู้กล้า โดยกำหนดให้พวกเขาต้องทอดร่างลงบนพื้นดิน วิญญาณนักรบที่ตายในสงครามอย่างกล้าหาญจะถูกฉุดขึ้นไปบนหลังม้าศึกของเหล่านางฟ้าวัลคีรีส์ผู้งดงาม ไปสู่ หอวัลฮัลลา (Valhalla)




หอวัลฮัลลา หรือหอวีรชนแห่งโอดิน คืออัครสถานอันสถิตอยู่กลางทุ่งแห่งแสงสว่างที่ประกอบด้วยประตูถึง 540 แห่ง แต่ละแห่งกว้างใหญ่เพียงพอสำหรับนักรบจำนวน 800 คนสามารถเดินผ่านได้ในเวลาเดียวกัน

ณ ที่นี้ วิญญาณของเหล่าผู้กล้าจะถือกำเนิดขึ้นใหม่ ในฐานะกองกำลังปีศาจแห่งจอมเทพโอดินครับ และพระองค์จะต้องสะสมกองกำลังนี้ให้เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ให้มีปริมาณมากพอที่จะเข้าสู่มหาสงครามครั้งสุดท้ายกับเหล่ายักษ์ในวันสิ้นโลก


ภาพจาก http://www.geocaching.com


ดังนั้น ผู้กล้าหาญจึงเป็นผลตอบแทนเพียงสิ่งเดียวที่พระเป็นเจ้าแห่งอัสการ์ดทรงต้องการจากมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา เพื่อปกป้องมวลมนุษย์เหล่านั้นในท้ายที่สุดครับ

ส่วนมหาเทวีเฟรยา เทวีแห่งความงาม ความอุดมสมบูรณ์ และเวทมนต์คาถา ที่ในสายวิชาของผมกำหนดให้บูชาคู่กับจอมเทพโอดิน ก็ทรงมีบทบาทสำคัญในภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์นี้เช่นกันครับ

เพราะในฐานะที่เป็นนางพญาแห่งวัลคีรีส์  มหาเทวีผู้ทรงสิทธิ์ขาดในการบังคับบัญชากองทัพนางฟ้าแห่งสงครามของจอมเทพโอดิน พระนางก็คือนางพญายมผู้คัดเลือกดวงวิญญาณเหล่านักรบ


ภาพโดย Mitziasto Wiuff


กล่าวอย่างง่ายที่สุดก็คือ ทรงมีอำนาจเต็มในการพิพากษาว่าใครควรจะอยู่หรือควรจะตายนั่นเองครับ 

ตำแหน่งนางพญาแห่งวัลคีรีส์นี้ ยังทำให้พระนางทรงได้รับสิทธิ์ในการแบ่งดวงวิญญาณเอนแฮร์ยาร์ถึงครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดที่ได้จากการรบแต่ละครั้ง เพื่อนำไปฝึกฝนการใช้ไสยเวทมนตราเป็นพิเศษ ณ ที่ประทับของพระนางด้วย

มหาเทวีเฟรยาทรงมีปราสาทเป็นของพระนางเอง คือ เซสสเรียมเนียร์ (Sessrymnir) อยู่ในอาณาจักรที่เรียกกันว่า โฟล์ควัง (Folkwang) เป็นที่พำนักของวิญญาณของเหล่านักรบ ซึ่งทรงแบ่งมาครึ่งหนึ่งจากเอนแฮร์ยาร์ทั้งหมดที่ตายอย่างกล้าหาญในสงครามแต่ละครั้งดังกล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ปราสาทดังกล่าวก็ยังเป็นสถานที่ต้อนรับดวงวิญญาณของภรรยาที่ฆ่าตัวตายตามสามี หรือ Shieldmaiden ที่ตายเคียงบ่าเคียงไหล่กับบุรุษในการสู้รบ

เซสสเรียมเนียร์ จึงเป็นประจักษ์พยานของความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชายในสังคมนอร์ส ในฐานะของความเป็นผู้กล้า ซึ่งยากจะหาได้ในวัฒนธรรมอื่นครับ

และมหาเทวีเฟรยา ก็ทรงปกครองทุกดวงวิญญาณในปราสาทของพระนางอย่างดีที่สุด จนกล่าวได้ว่า เหล่าวีรชนเมื่อตายแล้วพึงหาความสุขอย่างล้นเหลือได้ในวัลฮัลลา แต่ที่ซึ่งเป็นความสุขอย่างสมบูรณ์แท้จริงนั้น อยู่ในเซสสเรียมเนียร์



……………………………



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด