Tuesday, December 22, 2015

คติการสร้างโลก ในลัทธิศาสนาอาซาทรู





ชาวนอร์สมีปุราณวิทยา อันว่าด้วยกำเนิดของโลกและจักรวาล เทพเจ้า ยักษ์ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ และสรรพสิ่งเป็นของตนเอง ซึ่งไม่เหมือนกับเทพนิยายกรีก-โรมัน แต่กลับมีเนื้อหาหลายอย่างที่เหมือนกับคติการสร้างโลกของจีนอย่างน่าแปลกใจ ทั้งที่ไม่มีหนทางซึ่งชนชาติทั้งสองจะถ่ายทอดคติในเรื่องเช่นนี้แก่กันและกันได้เลยครับ

คติอันว่าด้วยปฐมกาลของชาวนอร์สกล่าวว่า ก่อนที่โลกทั้งหลายจะเกิดขึ้น ทุกหนทุกแห่งมีแต่ความว่างเปล่า เรียกว่า กินนุงกากัพ (Ginnunggagap)

ต่อมาในท่ามกลางความว่างเปล่านี้ ก็เกิดมีผืนน้ำแข็งและทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ไพศาล ขนาบด้วยดินแดนสองแห่งตามแนวเหนือใต้

ดินแดนทางเหนือนั้นเต็มไปด้วยหมอกและความเย็นยะเยียบ เรียกว่า นีฟเฟลไฮม์ (Nifelheim)

          ส่วนดินแดนทางใต้นั้นตรงกันข้าม กล่าวคือเต็มไปด้วยความร้อนแรงด้วยกำลังพระเพลิงที่เผาผลาญอยู่ทั่วไป จนยากที่จะมีผู้ใดอยู่ได้ แดนอัคคีนี้เรียกกันว่า มูสเพลล์ไฮม์ (Muspellheim)

          ประกายไฟจากมุสเพลเฮมบางส่วนได้ตกลงบนผืนน้ำแข็งที่อยู่ตรงกลาง นานวันเข้าก็ทำให้น้ำแข็งบริเวณนั้นละลาย ก่อกำเนิดเป็นผู้ให้ชีวิตสูงสุด นั่นคือ แม่วัววิเศษ โอดูมลา (Audhumla)




แม่วัววิเศษไม่สามารถจะหาอาหารได้จากที่ใด จึงได้แต่เลียกินก้อนน้ำแข็งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด เมื่อนางเลียก้อนน้ำแข็งไปนานเข้า ก้อนน้ำแข็งนั้นก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น และในที่สุดก็กลายบรรพชนของยักษ์และทวยเทพทุกองค์ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับร่างกายอันใหญ่โตมโหฬารที่สุดบนพื้นพิภพ และร่างกายนั้นประกอบด้วยเกล็ดน้ำแข็ง

เขามีนามว่า อีเมียร์ (Ymir)

พญายักษ์อีเมียร์อาศัยน้ำนมจากแม่โคเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต จนเวลาได้ผ่านไปอีกนาน เกล็ดน้ำแข็งบนร่างกายของเขาจึงแตกออกเป็นพวกยักษ์รุ่นแรก อสุรกายเหล่านี้มีทั้งเพศชายและหญิง มีขนาดแตกต่างกัน เรียกรวมๆ ว่า รีเม (Rime)

หลังจากอีเมียร์เกิดขึ้นแล้ว แม่โคโอดูมลายังคงเลียก้อนน้ำแข็งต่อไป ก้อนน้ำแข็งอีกก้อนที่นางเลียอยู่เป็นเวลา 3 วันได้กลายเป็นบรรพชนของเหล่าเทพเจ้า หรือ อาซา (Asa) ซึ่งแตกต่างจากพวกรีเมอย่างสิ้นเชิง

พราะขณะที่รีเมเป็นยักษ์ที่มีร่างกายใหญ่โตน่าสะพรึงกลัว บรรพชนแห่งเทพที่เกิดขึ้นทีหลัง กลับทรงมีเทวลักษณะที่แข็งแรงและงดงามมาก เป็นสิ่งสวยงามสิ่งแรกที่เกิดขึ้นในจักรวาลเชียวละครับ และอาซาองค์นี้ ทรงมีพระนามว่า บูรี (Buri)

เทพบรรพชน บูรี พระองค์นี้ ได้ทรงคัดเลือกยักษิณีตนหนึ่งเป็นชายา และมีพระโอรสด้วยกัน ทรงมีพระนามว่า บอร์ (Bor) ต่อมา เทพบอร์ก็ทรงเลือกนางยักษิณีที่สวยงามที่สุดในขณะนั้นคือ เบสท์ลา (Bestla) เป็นชายา

จุดกำเนิดของโลกต่างๆ เริ่มต้นจากตรงนี้ละครับ ทั้งเทพบอร์และยักษิณีเบสท์ลา ช่วยกันเพาะต้นอ่อนของพฤกษาโลก อี๊กก์ดราซีล (Yggdrasil)  ซึ่งเปรียบเสมือนแกนหลักแห่งพลังงานและธาตุทั้งหมด เพื่อยึดโลกต่างๆ ที่จะเกิดต่อไปในอนาคตเข้าไว้ด้วยกัน





พฤกษาโลกตามเทวปกรณ์อาซาทรูนี้ จึงหมายถึงแกนโลก ซึ่งทำหน้าที่ค้ำจุนภพภูมิทั้งหมดให้เกิดดุลยภาพ หากพฤกษาโลกถูกทำลาย ภพภูมิทั้งหลายจะพินาศสิ้น นั่นหมายถึงวันโลกาวินาศ ซึ่งชาวนอร์สเรียกว่า รักนาร็อค (Ragnarok)

เมื่อทรงได้รับความสำเร็จในการเพาะต้นอ่อนของพฤกษาโลก ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เทพบิดร บอร์และยักษิณีเบสท์ลาทรงให้กำเนิดโอรสสามองค์ สำหรับตัดสินชะตาโลก นั่นคือ จอมเทพโอดิน (Odin) เทพบิดรโฮเนียร์ (Honir) และ เทพบิดรโลเธอร์ (Lothur)




พญายักษ์อีเมียร์รู้ทันทีว่า ศัตรูของเขาได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว

ดังนั้น มหาสงครามอันยิ่งใหญ่ครั้งแรกในครั้งปฐมกาลจึงบังเกิด พญายักษ์อีเมียร์ ผู้มีร่างกายใหญ่โตยิ่งกว่าขุนเขาทั้งหมด ได้พยายามใช้พละกำลังอันดุร้าย เข้าสัประยุทธ์กับจอมเทพและอนุชาทั้งสอง จนแดนน้ำแข็งสะเทือนเลื่อนลั่น

แต่ในที่สุด พญายักษ์ก็เป็นฝ่ายปราชัย จอมเทพและพระอนุชาทั้งสองทรงได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในสมรภูมินั้น




          ความตายของอีเมียร์แทบจะทำให้รีเม หรือเผ่าพงศ์ยักษ์ทั้งหมดถึงกาลพินาศไปด้วย ถ้าหากว่าจอมเทพโอดินจะไม่ทรงไว้ชีวิตยักษ์บางตนที่ฉลาดและรอบรู้ อย่าง แบร์เกลเมียร์ (Bergelmir) และภรรยาเอาไว้

เหตุที่จอมเทพทรงตัดสินพระทัยดังกล่าว ก็เพราะพระองค์ทรงถือว่า ความฉลาดรอบรู้เป็นคุณสมบัติอันสูงส่งนั่นเอง

ในเทพนิยายของชาวนอร์ส จอมเทพโอดินทรงเมตตา และให้โอกาสคนฉลาดรอบรู้เสมอครับ แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาภายหลังทุกที เพราะคนฉลาดพวกนั้น (หรือลูกหลานของเขา) ไม่มีศีลธรรมกำกับนั่นเอง

          และจากซากศพของพญายักษ์อีเมียร์ จอมเทพโอดินและพระอนุชาช่วยกันสร้างโลกให้สมบูรณ์และเพียบพร้อมขึ้น เรียกว่า มิดการ์ด (Midgard : สเวนสคาว่า มิดกวร์ด)





พระองค์เสกเลือดของพญายักษ์ให้กลายเป็นแม่น้ำและทะเล เนื้อหนังกลายเป็นผืนดิน เพื่อพยุงรากแห่งพฤกษาโลกให้มั่นคงและแผ่ร่มเงาปกคลุมทั่วพิภพ ทรงเสกกระดูกอีเมียร์ให้กลายเป็นภูเขา ป่นฟันทั้งหมดลงกลายเป็นก้อนหินและก้อนกรวด ถักทอพฤกษานานาพรรณจากเส้นผม และเนรมิตผืนหญ้ากว้างใหญ่ขึ้นจากขนคิ้วของยักษ์ผู้วายชนม์

ส่วนกะโหลกอันใหญ่โตมโหฬารนั้น ทั้งสามองค์ทรงช่วยกันยกขึ้นวางบนเสาสี่ต้น เพื่อให้ส่วนโค้งภายในกะโหลกนั้นเป็นท้องฟ้าที่ครอบโลก ทรงสร้างหมู่เมฆทั่วผืนนภากาศนั้น เพื่อให้โลกใหม่ของพระองค์สดชื่นด้วยฝนตามฤดูกาล

และทรงสร้างคนแคระ สำหรับคอยรักษาเสาทั้งสี่ที่ค้ำยันท้องฟ้า มีชื่อว่า นอร์ธรี (Nordhri) โอสทรี (Austri) ซูธรี (Sudhri) และ เวสทรี (Vestri) ประจำเสาทางทิศเหนือ ทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตก ตามลำดับ

นี่ละครับ กำเนิดโลกที่เราอาศัยกันอยู่ทุกวันนี้

          จากนั้น เทพทั้งสามเสด็จไปมุสเพลล์ไฮม์ ทรงนำสะเก็ดไฟดวงใหญ่ที่มีแสงสุกปลั่งเป็นสีทองมาเสกเป็นราชรถสุริยัน หรือพระอาทิตย์ และทรงสร้างสุริยเทวีนามว่า โซล (Sol) ให้เป็นสารถี โคจรราชรถนั้นข้ามโค้งฟ้าในหัวกะโหลกแห่งพญายักษ์ ซึ่งเมื่อโคจรครบ 1 รอบก็เท่ากับเวลาเช้าถึงเย็น




และทรงนำสะเก็ดไฟที่มีขนาดรองลงมา ที่กำลังเย็น และมีสีขาวกว่า มาเสกเป็นราชรถจันทรา หรือ พระจันทร์ ทรงสร้างจันทรเทพ มานี (Mani) เป็นผู้บังคับราชรถนั้นโคจรข้ามโค้งฟ้ายามกลางคืนเพื่อให้แสงสว่างแทนพระอาทิตย์ และทรงนำสะเก็ดไฟอีกมากมาเสกเป็นดาวเคราะห์ และดาวฤกษ์ เพื่อประดับผืนฟ้ายามราตรีให้แพรวพราย

ตรงนี้ผมอยากให้สังเกตกันไว้หน่อยนะครับ เทววิทยาทั่วโลกเขายกให้พระอาทิตย์เป็นเพศชาย พระจันทร์เป็นเพศหญิง มีแปลกไปบ้าง อย่างอียิปต์และอินเดียที่ให้พระจันทร์เป็นเพศชายด้วย แต่พระอาทิตย์ก็ยังเป็นชายอยู่ดี มีแต่คติของชาวญี่ปุ่น กับชาวนอร์สนี่ละครับที่ให้พระอาทิตย์เป็นเพศหญิง

เรื่องนี้นักเทววิทยาอธิบายกันอ้อมแอ้มๆ ไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไหร่ แต่มีสำนักหนึ่งตีความว่า เพราะพระอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์ของกาลเวลา และกาลเวลาในทรรศนะของชาวนอร์สสัมพันธ์กับผู้หญิงครับ มีคณะเทวีควบคุมโดยเฉพาะ เรียกว่า นอร์นส์ (Norns) ผมว่าการตีความนี้มีเหตุผลดี

          เมื่อมีผืนแผ่นดินอันอุดมและเพียบพร้อมแล้ว จอมเทพและพระอนุชาจึงทรงสร้างมนุษย์ชายหญิงคู่แรกขึ้นจากต้นไม้จำพวกมะกอก (Ash) และต้นเอล์ม (Elm) ประทานชื่อว่า อัซค์ (Ask) และ เอ็มบลา (Embla)






ชายหญิงคู่แรกนี้ถือกำเนิดจากต้นไม้ที่แตกต่างกัน แต่ก็มีร่างกายที่สวยงามคล้ายกับเทพเจ้ามาก จอมเทพโอดินทรงมีพระประสงค์ให้ทั้งคู่มีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวง พระองค์จึงประทานจิตวิญญาณแก่พวกเขา


เทพบิดรโฮเนียร์ประทานความรู้สึก เทพบิดรโลเธอร์ประทานการพูด การเห็น และสัมผัสต่างๆ ทั้งสองจึงนับเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากเทพเจ้า และเป็นบรรพชนของมนุษย์ทั้งหมดในมิดการ์ด

เทพนิยายนอร์สเล่าต่อไปว่า ในช่วงเวลาอันยาวนาน ที่จอมเทพโอดินทรงสร้างสรรพสิ่งแก่โลกใหม่ของพระองค์ พวกยักษ์รุ่นใหม่ที่สืบเชื้อสายจากแบร์เกลเมียร์ก็มีจำนวนมากขึ้น บรรดายักษ์เหล่านี้ ต่างเฝ้ารอวันเวลาที่จะเข้าทำลายโลกใหม่ที่จอมเทพสร้างสร้างขึ้น เพื่อแก้แค้นแทนบรรพบุรุษของตนอย่างเงียบๆ

พระเป็นเจ้าเองก็ทรงตระหนักในเรื่องนี้ แต่เมื่อพวกมันยังไม่ลงมือทำอะไร พระองค์ก็ไม่ปรารถนาจะกวาดล้างพวกมันเป็นครั้งที่สอง เพราะทรงเห็นว่าในหมู่ยักษ์ทั้งหลายก็มีทั้งยักษ์ที่ดีและชั่วปะปนกัน หากทรงประหารเหล่ายักษ์ทั้งหมดด้วยเทวานุภาพ ยักษ์ที่ดีจะพลอยถูกขจัดไปด้วย

ที่สำคัญก็คือ ในจำนวนยักษ์เหล่านั้น มีบางส่วนที่จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับการสร้างโลกใหม่ของพระองค์ ซึ่งจะต้องตกแต่งขัดเกลาต่อไปอีกมากไงครับ

องค์เทพบิดรจึงทรงนำกระดูกที่เหลืออีกส่วนหนึ่งของพญายักษ์อีเมียร์มาทำเป็นกำแพงกั้นหมู่ยักษ์ให้ออกไปอาศัยอยู่ในอีกดินแดนหนึ่งต่างหาก เรียกว่า แดนยักษ์ หรือ โยทูนไฮม์ (Jotunheim) หรือ อู๊ทการ์ด (Utgard : สเวนสคาว่า อู๊ทกวร์ด)





แต่แม้จะมีกำแพงอันเป็นเทือกเขาสูงใหญ่กั้นไว้แล้ว เหล่ายักษ์ที่มีฤทธิ์มากบางตน ก็ยังแปลงร่างเข้ามาลอบสมสู่กับลูกหลานของอัซค์และเอ็มบลา โดยรอดพระเนตรพระกรรณขององค์จอมเทพไปได้แทบทุกครั้ง

ทำให้มนุษย์รุ่นต่อๆ มา ต้องมีมลทินจากความชั่วร้ายและบาป ที่ปะปนเข้ามาในสายเลือด แม้จะถือกำเนิดขึ้นมาอย่างบริสุทธิ์ก็ตาม

จอมเทพโอดินไม่อาจจะแก้ไขปัญหานี้ได้ พระองค์จึงทรงสร้างเทวโลกสำหรับเป็นที่อยู่ของเหล่าทวยเทพซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญที่เข้ามาคุ้มครองและปกป้องมนุษย์ในมิดการ์ด เทวโลกหรือแดนสวรรค์นั้นก็คือ อัสการ์ด ตามที่ผมโพสต์ไปแล้วครับ

คติการสร้างโลกที่บรรยายมาทั้งหมดนี้ ว่ากันว่า สนอร์รี สเตอร์ลูสซัน (Snorri Sturlusson) เป็นคนลำดับเรื่องและแต่งเติมเสริมต่อไว้มากครับ โดยมีอิทธิพลของศาสนาคริสต์และลัทธิศาสนากรีกโบราณเข้าไปปะปนมากพอสมควร แต่ที่จอมเทพโอดินทรงได้รับสมญาว่า บิดาแห่งสรรพสิ่ง ก็มีตำนานโบราณเล่าเรื่องที่ทรงสร้างดินแดนหรือภพภูมิต่างๆ กระจัดกระจายกันมาแต่เดิมเหมือนกั

เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ว่าสนอร์รีแต่งขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่ก็ยากที่จะบอกได้ว่า ของเก่ามีอยู่แค่ไหน อีกทั้งในทางเทววิทยาจริงๆ แล้ว เรื่องการสร้างโลก หรือพระเป็นเจ้าผู้สร้างโลกนี้ ไม่มีจริงหรอกครับ ทั้งหมดเป็นจินตนาการของมนุษย์ ผสมผสานตำนานเก่าแก่ประจำชนชาติชนเผ่าทั้งสิ้น

          ผมก็เลยนำมาเรียบเรียงให้อ่านกัน เพื่อประดับความรู้ในทางเทววิทยาอาซาทรูเท่านั้นครับ ไม่ใช่เพื่อให้เชื่อ หรือว่านับถือเป็นจริงเป็นจัง เพราะเรื่องราวเหล่านี้ไม่สำคัญอะไรเลยในทางเทวศาสตร์ เราสามารถบูชาจอมเทพโอดิน และใช้รูนส์ได้โดยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้เลยครับ

เพียงแต่เทพนิยายที่โรแมนติกแบบนี้ มักจะถูกอ้างอิงเสมอในสื่อต่างๆ ของชาวตะวันตก ที่เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมที่นับถือศาสนาเทพนิยาย อย่างศาสนาคริสต์ จนกระทั่งเป็นแรงบันดาลใจของนวนิยาย Lord of The Ring ด้วย ดังที่รู้ๆ กันอยู่ละครับ แถมยังมีอาซาทรูเออร์ หรือโอดินนิสต์บางสำนักพลอยเชื่อตามนี้กันอีกต่างหาก

          ดังนั้น รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหามครับ





……………………………



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

8 comments:

  1. อ่านแล้วก็สนุก เพลิดเพลินดีนะคะ บางเรื่องก็ชวนให้นึกถึงเทพนิยายจากที่อื่นๆ อย่างที่ จอมเทพโอดินมีอนุชาอีก 2 องค์ ช่วยกันรบกับยักษ์อีเมียร์ ทำให้นึกถึงเทพนิยายกรีก จอมเทพซีอุส กับพี่สองคนคือ โปรไซดอนกับพลูโต ที่ร่วมมือกันโค่นโครนอส

    ReplyDelete
    Replies
    1. ตรงนี้ละครับที่เชื่อกันว่า สนอร์รี เติมเข้าไปแน่นอน เพราะเทพบิดรโฮเนียร์กับเทพบิดรโลเธอร์นั้น หลังสร้างโลกแล้วก็หมดบทบาทไปเลยทันทีครับ

      Delete
  2. พอบอกว่ามีอิทธิพลกรีก+คริสต์อยู่ด้วยเลยกระจ่างค่ะ แต่ที่ว่าเหมือนจีนคือที่ยักษ์ตายแล้วเนื้อหนังกลายเป็นผืนดินหรือเปล่า

    ReplyDelete
    Replies
    1. ใช่ครับ เหมือนผานกู่ในเทพนิยายจีนมากๆ เพียงแต่ผานกู่หลังจากแยกฟ้าดินแล้วตายเอง ไม่มีใครฆ่าครับ

      Delete
  3. ในนิยายจอมเทพโอดินให้โอกาสคนฉลาดไม่ว่าจะเป็นคนดีคนชั่ว แล้วในความเป็นจริงล่ะคะทรงให้โอกาสคนฉลาดที่ชั่วมั้ย

    ReplyDelete
    Replies
    1. ให้ครับ ให้โอกาสคนเหล่านั้นในการกลับตัวกลับใจ แต่ถ้าได้โอกาสแล้วยังกลับตัวกลับใจไม่ได้ ก็หมดหนทางได้เป็นผู้เป็นคนเหมือนมนุษย์มนาทั่วไปละครับ จะต้องกลายเป็นเดนคน เป็นเหมือนเศษขยะที่ไร้ค่าเรื่อยไป ไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี หาความสุขความเจริญไม่ได้ เป็นอย่างนี้ไปทุกภพชาติจนกว่าจะหมดหนทางกลับมาเกิดเป็นคนอีก

      Delete
  4. คนนอร์สนี่จินตนาการสู้คนกรีกไม่ได้นะคะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. กรีกมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่ละเอียดอ่อนกว่าครับ นอร์สเป็นชนเผ่าป่าเถื่อนมาแต่เดิม เพิ่งจะสนใจเรื่องความรู้และสติปัญญาก็เมื่อได้เข้าไปคลุกคลีกับพวกกรีก เรียนภาษาและวัฒนธรรมกรีก เทพนิยายจึงไม่สละสลวยเท่า

      Delete

Note: Only a member of this blog may post a comment.