ชาวนอร์สมีปุราณวิทยา อันว่าด้วยกำเนิดของโลกและจักรวาล
เทพเจ้า ยักษ์ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ และสรรพสิ่งเป็นของตนเอง
ซึ่งไม่เหมือนกับเทพนิยายกรีก-โรมัน
แต่กลับมีเนื้อหาหลายอย่างที่เหมือนกับคติการสร้างโลกของจีนอย่างน่าแปลกใจ ทั้งที่ไม่มีหนทางซึ่งชนชาติทั้งสองจะถ่ายทอดคติในเรื่องเช่นนี้แก่กันและกันได้เลยครับ
คติอันว่าด้วยปฐมกาลของชาวนอร์สกล่าวว่า
ก่อนที่โลกทั้งหลายจะเกิดขึ้น ทุกหนทุกแห่งมีแต่ความว่างเปล่า เรียกว่า กินนุงกากัพ
(Ginnunggagap)
ต่อมาในท่ามกลางความว่างเปล่านี้
ก็เกิดมีผืนน้ำแข็งและทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ไพศาล
ขนาบด้วยดินแดนสองแห่งตามแนวเหนือใต้
ดินแดนทางเหนือนั้นเต็มไปด้วยหมอกและความเย็นยะเยียบ
เรียกว่า นีฟเฟลไฮม์ (Nifelheim)
ส่วนดินแดนทางใต้นั้นตรงกันข้าม
กล่าวคือเต็มไปด้วยความร้อนแรงด้วยกำลังพระเพลิงที่เผาผลาญอยู่ทั่วไป
จนยากที่จะมีผู้ใดอยู่ได้ แดนอัคคีนี้เรียกกันว่า มูสเพลล์ไฮม์ (Muspellheim)
ประกายไฟจากมุสเพลเฮมบางส่วนได้ตกลงบนผืนน้ำแข็งที่อยู่ตรงกลาง
นานวันเข้าก็ทำให้น้ำแข็งบริเวณนั้นละลาย ก่อกำเนิดเป็นผู้ให้ชีวิตสูงสุด นั่นคือ
แม่วัววิเศษ โอดูมลา (Audhumla)
แม่วัววิเศษไม่สามารถจะหาอาหารได้จากที่ใด
จึงได้แต่เลียกินก้อนน้ำแข็งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด
เมื่อนางเลียก้อนน้ำแข็งไปนานเข้า ก้อนน้ำแข็งนั้นก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น
และในที่สุดก็กลายบรรพชนของยักษ์และทวยเทพทุกองค์
ซึ่งถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับร่างกายอันใหญ่โตมโหฬารที่สุดบนพื้นพิภพ
และร่างกายนั้นประกอบด้วยเกล็ดน้ำแข็ง
เขามีนามว่า อีเมียร์
(Ymir)
พญายักษ์อีเมียร์อาศัยน้ำนมจากแม่โคเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต
จนเวลาได้ผ่านไปอีกนาน เกล็ดน้ำแข็งบนร่างกายของเขาจึงแตกออกเป็นพวกยักษ์รุ่นแรก
อสุรกายเหล่านี้มีทั้งเพศชายและหญิง มีขนาดแตกต่างกัน เรียกรวมๆ ว่า รีเม (Rime)
หลังจากอีเมียร์เกิดขึ้นแล้ว
แม่โคโอดูมลายังคงเลียก้อนน้ำแข็งต่อไป ก้อนน้ำแข็งอีกก้อนที่นางเลียอยู่เป็นเวลา 3 วันได้กลายเป็นบรรพชนของเหล่าเทพเจ้า หรือ อาซา (Asa)
ซึ่งแตกต่างจากพวกรีเมอย่างสิ้นเชิง
พราะขณะที่รีเมเป็นยักษ์ที่มีร่างกายใหญ่โตน่าสะพรึงกลัว
บรรพชนแห่งเทพที่เกิดขึ้นทีหลัง กลับทรงมีเทวลักษณะที่แข็งแรงและงดงามมาก
เป็นสิ่งสวยงามสิ่งแรกที่เกิดขึ้นในจักรวาลเชียวละครับ และอาซาองค์นี้ ทรงมีพระนามว่า บูรี (Buri)
เทพบรรพชน บูรี พระองค์นี้
ได้ทรงคัดเลือกยักษิณีตนหนึ่งเป็นชายา และมีพระโอรสด้วยกัน ทรงมีพระนามว่า บอร์ (Bor)
ต่อมา เทพบอร์ก็ทรงเลือกนางยักษิณีที่สวยงามที่สุดในขณะนั้นคือ เบสท์ลา
(Bestla) เป็นชายา
จุดกำเนิดของโลกต่างๆ
เริ่มต้นจากตรงนี้ละครับ
ทั้งเทพบอร์และยักษิณีเบสท์ลา ช่วยกันเพาะต้นอ่อนของพฤกษาโลก อี๊กก์ดราซีล (Yggdrasil)
ซึ่งเปรียบเสมือนแกนหลักแห่งพลังงานและธาตุทั้งหมด เพื่อยึดโลกต่างๆ
ที่จะเกิดต่อไปในอนาคตเข้าไว้ด้วยกัน
พฤกษาโลกตามเทวปกรณ์อาซาทรูนี้
จึงหมายถึงแกนโลก ซึ่งทำหน้าที่ค้ำจุนภพภูมิทั้งหมดให้เกิดดุลยภาพ
หากพฤกษาโลกถูกทำลาย ภพภูมิทั้งหลายจะพินาศสิ้น นั่นหมายถึงวันโลกาวินาศ
ซึ่งชาวนอร์สเรียกว่า รักนาร็อค (Ragnarok)
เมื่อทรงได้รับความสำเร็จในการเพาะต้นอ่อนของพฤกษาโลก
ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
เทพบิดร บอร์และยักษิณีเบสท์ลาทรงให้กำเนิดโอรสสามองค์ สำหรับตัดสินชะตาโลก นั่นคือ
จอมเทพโอดิน (Odin) เทพบิดรโฮเนียร์ (Honir) และ เทพบิดรโลเธอร์ (Lothur)
พญายักษ์อีเมียร์รู้ทันทีว่า
ศัตรูของเขาได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
ดังนั้น
มหาสงครามอันยิ่งใหญ่ครั้งแรกในครั้งปฐมกาลจึงบังเกิด พญายักษ์อีเมียร์
ผู้มีร่างกายใหญ่โตยิ่งกว่าขุนเขาทั้งหมด ได้พยายามใช้พละกำลังอันดุร้าย
เข้าสัประยุทธ์กับจอมเทพและอนุชาทั้งสอง จนแดนน้ำแข็งสะเทือนเลื่อนลั่น
ความตายของอีเมียร์แทบจะทำให้รีเม
หรือเผ่าพงศ์ยักษ์ทั้งหมดถึงกาลพินาศไปด้วย ถ้าหากว่าจอมเทพโอดินจะไม่ทรงไว้ชีวิตยักษ์บางตนที่ฉลาดและรอบรู้ อย่าง
แบร์เกลเมียร์ (Bergelmir) และภรรยาเอาไว้
เหตุที่จอมเทพทรงตัดสินพระทัยดังกล่าว
ก็เพราะพระองค์ทรงถือว่า ความฉลาดรอบรู้เป็นคุณสมบัติอันสูงส่งนั่นเอง
ในเทพนิยายของชาวนอร์ส
จอมเทพโอดินทรงเมตตา และให้โอกาสคนฉลาดรอบรู้เสมอครับ
แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาภายหลังทุกที เพราะคนฉลาดพวกนั้น (หรือลูกหลานของเขา)
ไม่มีศีลธรรมกำกับนั่นเอง
และจากซากศพของพญายักษ์อีเมียร์
จอมเทพโอดินและพระอนุชาช่วยกันสร้างโลกให้สมบูรณ์และเพียบพร้อมขึ้น เรียกว่า มิดการ์ด
(Midgard : สเวนสคาว่า มิดกวร์ด)
พระองค์เสกเลือดของพญายักษ์ให้กลายเป็นแม่น้ำและทะเล
เนื้อหนังกลายเป็นผืนดิน
เพื่อพยุงรากแห่งพฤกษาโลกให้มั่นคงและแผ่ร่มเงาปกคลุมทั่วพิภพ
ทรงเสกกระดูกอีเมียร์ให้กลายเป็นภูเขา ป่นฟันทั้งหมดลงกลายเป็นก้อนหินและก้อนกรวด
ถักทอพฤกษานานาพรรณจากเส้นผม
และเนรมิตผืนหญ้ากว้างใหญ่ขึ้นจากขนคิ้วของยักษ์ผู้วายชนม์
ส่วนกะโหลกอันใหญ่โตมโหฬารนั้น
ทั้งสามองค์ทรงช่วยกันยกขึ้นวางบนเสาสี่ต้น
เพื่อให้ส่วนโค้งภายในกะโหลกนั้นเป็นท้องฟ้าที่ครอบโลก
ทรงสร้างหมู่เมฆทั่วผืนนภากาศนั้น เพื่อให้โลกใหม่ของพระองค์สดชื่นด้วยฝนตามฤดูกาล
และทรงสร้างคนแคระ สำหรับคอยรักษาเสาทั้งสี่ที่ค้ำยันท้องฟ้า
มีชื่อว่า นอร์ธรี (Nordhri) โอสทรี (Austri) ซูธรี (Sudhri)
และ เวสทรี (Vestri) ประจำเสาทางทิศเหนือ
ทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตก ตามลำดับ
นี่ละครับ
กำเนิดโลกที่เราอาศัยกันอยู่ทุกวันนี้
จากนั้น เทพทั้งสามเสด็จไปมุสเพลล์ไฮม์ ทรงนำสะเก็ดไฟดวงใหญ่ที่มีแสงสุกปลั่งเป็นสีทองมาเสกเป็นราชรถสุริยัน หรือพระอาทิตย์
และทรงสร้างสุริยเทวีนามว่า โซล (Sol) ให้เป็นสารถี โคจรราชรถนั้นข้ามโค้งฟ้าในหัวกะโหลกแห่งพญายักษ์
ซึ่งเมื่อโคจรครบ 1 รอบก็เท่ากับเวลาเช้าถึงเย็น
และทรงนำสะเก็ดไฟที่มีขนาดรองลงมา ที่กำลังเย็น และมีสีขาวกว่า มาเสกเป็นราชรถจันทรา
หรือ พระจันทร์ ทรงสร้างจันทรเทพ มานี (Mani) เป็นผู้บังคับราชรถนั้นโคจรข้ามโค้งฟ้ายามกลางคืนเพื่อให้แสงสว่างแทนพระอาทิตย์ และทรงนำสะเก็ดไฟอีกมากมาเสกเป็นดาวเคราะห์ และดาวฤกษ์ เพื่อประดับผืนฟ้ายามราตรีให้แพรวพราย
ตรงนี้ผมอยากให้สังเกตกันไว้หน่อยนะครับ
เทววิทยาทั่วโลกเขายกให้พระอาทิตย์เป็นเพศชาย พระจันทร์เป็นเพศหญิง
มีแปลกไปบ้าง อย่างอียิปต์และอินเดียที่ให้พระจันทร์เป็นเพศชายด้วย แต่พระอาทิตย์ก็ยังเป็นชายอยู่ดี
มีแต่คติของชาวญี่ปุ่น กับชาวนอร์สนี่ละครับที่ให้พระอาทิตย์เป็นเพศหญิง
เรื่องนี้นักเทววิทยาอธิบายกันอ้อมแอ้มๆ
ไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไหร่ แต่มีสำนักหนึ่งตีความว่า
เพราะพระอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์ของกาลเวลา
และกาลเวลาในทรรศนะของชาวนอร์สสัมพันธ์กับผู้หญิงครับ มีคณะเทวีควบคุมโดยเฉพาะ
เรียกว่า นอร์นส์ (Norns)
ผมว่าการตีความนี้มีเหตุผลดี
เมื่อมีผืนแผ่นดินอันอุดมและเพียบพร้อมแล้ว
จอมเทพและพระอนุชาจึงทรงสร้างมนุษย์ชายหญิงคู่แรกขึ้นจากต้นไม้จำพวกมะกอก (Ash)
และต้นเอล์ม (Elm) ประทานชื่อว่า อัซค์ (Ask)
และ เอ็มบลา (Embla)
ชายหญิงคู่แรกนี้ถือกำเนิดจากต้นไม้ที่แตกต่างกัน
แต่ก็มีร่างกายที่สวยงามคล้ายกับเทพเจ้ามาก
จอมเทพโอดินทรงมีพระประสงค์ให้ทั้งคู่มีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
พระองค์จึงประทานจิตวิญญาณแก่พวกเขา
เทพบิดรโฮเนียร์ประทานความรู้สึก
เทพบิดรโลเธอร์ประทานการพูด การเห็น และสัมผัสต่างๆ
ทั้งสองจึงนับเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากเทพเจ้า
และเป็นบรรพชนของมนุษย์ทั้งหมดในมิดการ์ด
เทพนิยายนอร์สเล่าต่อไปว่า
ในช่วงเวลาอันยาวนาน ที่จอมเทพโอดินทรงสร้างสรรพสิ่งแก่โลกใหม่ของพระองค์
พวกยักษ์รุ่นใหม่ที่สืบเชื้อสายจากแบร์เกลเมียร์ก็มีจำนวนมากขึ้น
บรรดายักษ์เหล่านี้
ต่างเฝ้ารอวันเวลาที่จะเข้าทำลายโลกใหม่ที่จอมเทพสร้างสร้างขึ้น
เพื่อแก้แค้นแทนบรรพบุรุษของตนอย่างเงียบๆ
พระเป็นเจ้าเองก็ทรงตระหนักในเรื่องนี้
แต่เมื่อพวกมันยังไม่ลงมือทำอะไร พระองค์ก็ไม่ปรารถนาจะกวาดล้างพวกมันเป็นครั้งที่สอง
เพราะทรงเห็นว่าในหมู่ยักษ์ทั้งหลายก็มีทั้งยักษ์ที่ดีและชั่วปะปนกัน
หากทรงประหารเหล่ายักษ์ทั้งหมดด้วยเทวานุภาพ ยักษ์ที่ดีจะพลอยถูกขจัดไปด้วย
ที่สำคัญก็คือ
ในจำนวนยักษ์เหล่านั้น มีบางส่วนที่จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับการสร้างโลกใหม่ของพระองค์
ซึ่งจะต้องตกแต่งขัดเกลาต่อไปอีกมากไงครับ
องค์เทพบิดรจึงทรงนำกระดูกที่เหลืออีกส่วนหนึ่งของพญายักษ์อีเมียร์มาทำเป็นกำแพงกั้นหมู่ยักษ์ให้ออกไปอาศัยอยู่ในอีกดินแดนหนึ่งต่างหาก
เรียกว่า แดนยักษ์ หรือ โยทูนไฮม์ (Jotunheim) หรือ
อู๊ทการ์ด (Utgard : สเวนสคาว่า อู๊ทกวร์ด)
แต่แม้จะมีกำแพงอันเป็นเทือกเขาสูงใหญ่กั้นไว้แล้ว
เหล่ายักษ์ที่มีฤทธิ์มากบางตน ก็ยังแปลงร่างเข้ามาลอบสมสู่กับลูกหลานของอัซค์และเอ็มบลา
โดยรอดพระเนตรพระกรรณขององค์จอมเทพไปได้แทบทุกครั้ง
ทำให้มนุษย์รุ่นต่อๆ
มา ต้องมีมลทินจากความชั่วร้ายและบาป ที่ปะปนเข้ามาในสายเลือด
แม้จะถือกำเนิดขึ้นมาอย่างบริสุทธิ์ก็ตาม
จอมเทพโอดินไม่อาจจะแก้ไขปัญหานี้ได้
พระองค์จึงทรงสร้างเทวโลกสำหรับเป็นที่อยู่ของเหล่าทวยเทพซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญที่เข้ามาคุ้มครองและปกป้องมนุษย์ในมิดการ์ด
เทวโลกหรือแดนสวรรค์นั้นก็คือ อัสการ์ด ตามที่ผมโพสต์ไปแล้วครับ
คติการสร้างโลกที่บรรยายมาทั้งหมดนี้
ว่ากันว่า สนอร์รี สเตอร์ลูสซัน (Snorri Sturlusson) เป็นคนลำดับเรื่องและแต่งเติมเสริมต่อไว้มากครับ
โดยมีอิทธิพลของศาสนาคริสต์และลัทธิศาสนากรีกโบราณเข้าไปปะปนมากพอสมควร
แต่ที่จอมเทพโอดินทรงได้รับสมญาว่า บิดาแห่งสรรพสิ่ง
ก็มีตำนานโบราณเล่าเรื่องที่ทรงสร้างดินแดนหรือภพภูมิต่างๆ
กระจัดกระจายกันมาแต่เดิมเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ว่าสนอร์รีแต่งขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
แต่ก็ยากที่จะบอกได้ว่า ของเก่ามีอยู่แค่ไหน อีกทั้งในทางเทววิทยาจริงๆ แล้ว
เรื่องการสร้างโลก หรือพระเป็นเจ้าผู้สร้างโลกนี้ ไม่มีจริงหรอกครับ
ทั้งหมดเป็นจินตนาการของมนุษย์ ผสมผสานตำนานเก่าแก่ประจำชนชาติชนเผ่าทั้งสิ้น
ผมก็เลยนำมาเรียบเรียงให้อ่านกัน เพื่อประดับความรู้ในทางเทววิทยาอาซาทรูเท่านั้นครับ ไม่ใช่เพื่อให้เชื่อ หรือว่านับถือเป็นจริงเป็นจัง เพราะเรื่องราวเหล่านี้ไม่สำคัญอะไรเลยในทางเทวศาสตร์ เราสามารถบูชาจอมเทพโอดิน และใช้รูนส์ได้โดยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้เลยครับ
ผมก็เลยนำมาเรียบเรียงให้อ่านกัน เพื่อประดับความรู้ในทางเทววิทยาอาซาทรูเท่านั้นครับ ไม่ใช่เพื่อให้เชื่อ หรือว่านับถือเป็นจริงเป็นจัง เพราะเรื่องราวเหล่านี้ไม่สำคัญอะไรเลยในทางเทวศาสตร์ เราสามารถบูชาจอมเทพโอดิน และใช้รูนส์ได้โดยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้เลยครับ
เพียงแต่เทพนิยายที่โรแมนติกแบบนี้
มักจะถูกอ้างอิงเสมอในสื่อต่างๆ
ของชาวตะวันตก ที่เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมที่นับถือศาสนาเทพนิยาย อย่างศาสนาคริสต์
จนกระทั่งเป็นแรงบันดาลใจของนวนิยาย Lord of The Ring ด้วย ดังที่รู้ๆ กันอยู่ละครับ แถมยังมีอาซาทรูเออร์
หรือโอดินนิสต์บางสำนักพลอยเชื่อตามนี้กันอีกต่างหาก
ดังนั้น รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหามครับ
ดังนั้น รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหามครับ
……………………………
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
อ่านแล้วก็สนุก เพลิดเพลินดีนะคะ บางเรื่องก็ชวนให้นึกถึงเทพนิยายจากที่อื่นๆ อย่างที่ จอมเทพโอดินมีอนุชาอีก 2 องค์ ช่วยกันรบกับยักษ์อีเมียร์ ทำให้นึกถึงเทพนิยายกรีก จอมเทพซีอุส กับพี่สองคนคือ โปรไซดอนกับพลูโต ที่ร่วมมือกันโค่นโครนอส
ReplyDeleteตรงนี้ละครับที่เชื่อกันว่า สนอร์รี เติมเข้าไปแน่นอน เพราะเทพบิดรโฮเนียร์กับเทพบิดรโลเธอร์นั้น หลังสร้างโลกแล้วก็หมดบทบาทไปเลยทันทีครับ
Deleteพอบอกว่ามีอิทธิพลกรีก+คริสต์อยู่ด้วยเลยกระจ่างค่ะ แต่ที่ว่าเหมือนจีนคือที่ยักษ์ตายแล้วเนื้อหนังกลายเป็นผืนดินหรือเปล่า
ReplyDeleteใช่ครับ เหมือนผานกู่ในเทพนิยายจีนมากๆ เพียงแต่ผานกู่หลังจากแยกฟ้าดินแล้วตายเอง ไม่มีใครฆ่าครับ
Deleteในนิยายจอมเทพโอดินให้โอกาสคนฉลาดไม่ว่าจะเป็นคนดีคนชั่ว แล้วในความเป็นจริงล่ะคะทรงให้โอกาสคนฉลาดที่ชั่วมั้ย
ReplyDeleteให้ครับ ให้โอกาสคนเหล่านั้นในการกลับตัวกลับใจ แต่ถ้าได้โอกาสแล้วยังกลับตัวกลับใจไม่ได้ ก็หมดหนทางได้เป็นผู้เป็นคนเหมือนมนุษย์มนาทั่วไปละครับ จะต้องกลายเป็นเดนคน เป็นเหมือนเศษขยะที่ไร้ค่าเรื่อยไป ไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี หาความสุขความเจริญไม่ได้ เป็นอย่างนี้ไปทุกภพชาติจนกว่าจะหมดหนทางกลับมาเกิดเป็นคนอีก
Deleteคนนอร์สนี่จินตนาการสู้คนกรีกไม่ได้นะคะ
ReplyDeleteกรีกมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่ละเอียดอ่อนกว่าครับ นอร์สเป็นชนเผ่าป่าเถื่อนมาแต่เดิม เพิ่งจะสนใจเรื่องความรู้และสติปัญญาก็เมื่อได้เข้าไปคลุกคลีกับพวกกรีก เรียนภาษาและวัฒนธรรมกรีก เทพนิยายจึงไม่สละสลวยเท่า
Delete