Friday, December 18, 2015

แดนสวรรค์ในลัทธิศาสนาอาซาทรู



ใครที่สนใจเรื่องราวของเทพปกรณัมอาซาทรู ต้องเคยเห็นคำว่า อัสการ์ด, วัลฮัลลา, วัลคีรีส์ไม่มากก็น้อย ผมเองก็เคยเขียนถึงไปบ่อยๆ ครับ คราวนี้จะขอพูดถึงเป็นกิจจะลักษณะซักที

อัสการ์ด แปลว่า อุทยานแห่งทวยเทพ (God’s Garden) คือเทวโลกหรือแดนสวรรค์ในลัทธิศาสนาอาซาทรู ที่จอมเทพโอดินทรงสร้างเพื่อเป็นที่อยู่ของเหล่าทวยเทพ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการคุ้มครองและปกป้องมนุษย์ในมิดการ์ด หรือโลกของเรานั่นเองครับ


Viking Castle by Reza


อัสการ์ดเป็นดินแดนแห่งความสวยสดงดงาม อยู่สูงขึ้นไปบนกิ่งก้านพฤกษาโลกเหนือท้องฟ้าแห่งมิดการ์ด และเชื่อมกันด้วยสะพานสายรุ้ง บีฟรอสต์ (Bifrost)

จอมเทพโอดินทรงสร้าง มหาปราสาทกลัดส์ไฮม์ (Gladsheim) ขึ้นที่นี่ พร้อมด้วยเทวบัลลังก์อันศักดิ์สิทธิ์ในฐานะองค์ราชาแห่งสรวงสวรรค์ ซึ่งมีชื่อว่า ลี๊ดสเคียลฟ์ (Hlidskialf)

ทุกวันพระองค์จะเสด็จประทับ ณ เทวบัลลังก์นี้ เพื่อเฝ้ามองสรรพสิ่งในแดนมนุษย์ พระองค์ยังมีอีกาสีดำสนิทสองตัวเป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งทรงรับสั่งให้โบยบินไปทั่วโลก นำข่าวสารต่างๆ กลับมาถวายรายงานแด่พระองค์


Odin's Throne by Burning Brush Gallery

นอกเหนือจากการเฝ้าคอยตรวจตราความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ จอมเทพก็ทรงให้กำเนิดเทพเจ้าขึ้นทีละองค์ โดยทรงจำแลงพระวรกายไปลอบสมสู่กับยักษิณีทั้งหลายที่งดงาม เทพเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ต่างพากันเข้ามาถวายการรับใช้พระองค์ในอัสการ์ด โดยแบ่งเบาภาระหน้าที่ในการควบคุมดูแลให้ฤดูกาลรวมทั้งความเจริญงอกงามของสรรพชีวิตต่างๆ ได้ดำเนินไปตามครรลองของมัน ตามทิพยานุภาพของแต่ละองค์

คณะเทพเหล่านี้เรียกรวมกันว่า เอเซียร์ (Aesir)




จากเทวบัลลังก์ในมหาปราสาทกลัดส์ไฮม์ ในฐานะที่ทรงเป็นบิดาแห่งสรรพสิ่ง จอมเทพโอดินทรงใช้เวลาแทบทั้งหมด เฝ้าถนอมและปกปักรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่มากที่สุด คือมวลมนุษย์

บรรพชนรุ่นแรกของมิดการ์ด ที่เป็นลูกหลานของพระองค์ในช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นสั่งสมอารยธรรม ทุกคนทำงานหนัก และเป็นสุขกับพืชผลทางการเกษตรที่ได้รับ ไม่มีใครคิดถึงสงครามหรือการต่อสู้แก่งแย่งกัน

แต่พระเป็นเจ้าก็ไม่อาจจะทรงปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปได้ แม้ว่าพระองค์จะทรงพอพระทัยกับความสงบสุขเช่นนี้ก็ตาม

เพราะถึงแม้ว่า สันติสุขจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่เมื่อถึงวันโลกาวินาศ อันถือว่าเป็นการสัประยุทธ์ครั้งสุดท้ายระหว่างความดีและความชั่วทั้งปวง เผ่าพงศ์ยักษ์ อันเป็นตัวแทนของความชั่วที่เตรียมพร้อมจะเข้าทำลายโลกนั้น มีกำลังและความแข็งแกร่งมากมายครับ


ขณะที่วงศ์เทพเอเซียร์อันเป็นตัวแทนของความดีงาม มีจำนวนน้อยจนไม่พอจะปกป้องโลก

จอมเทพโอดินจึงทรงมีพระดำริว่า พระองค์จำต้องทรงมีกองทัพนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด ไว้คอยรับมือกับกองทัพยักษ์ในช่วงเวลาแห่งการทำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่นั้น

พระองค์จึงทรงมีเทวโองการให้ เทพไฮม์ดัลล์ (Heimdall) ไปยังมิดการ์ด เพื่อประทานความรู้ต่างๆ โดยเฉพาะในด้านการสู้รบ




ดังนั้นในเวลาต่อมา มวลมนุษย์จึงกระทำสงครามระหว่างกันเพื่อป้องกันตัว หรือเพื่อรวบรวมทรัพยากรและกำลังคนของอีกฝ่ายหนึ่ง ถือว่าเป็นสิ่งที่มีเกียรติที่จะได้ต่อสู้อย่างกล้าหาญตามวิถีแห่งสวรรค์ เพราะเป็นไปตามพระประสงค์แห่งพระเป็นเจ้า

และดวงวิญญาณของผู้ที่มีคุณสมบัติดีที่สุดในหมู่คนเหล่านั้น ซึ่งก็คือผู้กล้าที่ได้รับการขนานนามว่า วีรชน หรือ ไอน์แฮร์ยาร์ (Einherjar) จะได้รับการคัดเลือกโดยจอมเทพโอดิน และคณะเทวีแห่งสงครามหรือ วัลคีรีส์ (Valkyries) ซึ่งเป็นเทพบริวารของพระองค์ เพื่อเป็นกองทัพอันเกรียงไกรแห่งอัสการ์ด ที่จะใช้ต่อสู้กับกองทัพยักษ์ ในวันมหาวิบัติโลก

วัลคีรีส์ ตามเทวตำนานคือเหล่าธิดาของจอมเทพโอดิน ทุกองค์สวมชุดนักรบซึ่งประกอบด้วยหมวกสำริดดุนลาย มีปีกนกอินทรีสองข้างแบบเดียวกับจอมเทพโอดิน เกราะทำด้วยสำริดดุนลายปิดลำตัวช่วงบนและต้นแขน ชายเกราะด้านล่างคลุมตลอดสะโพก และทับกระโปรงยาวกรอมเท้า แขนท่อนล่างไปถึงหลังมือมีสนับแขนทำด้วยแผ่นสำริดดุนลาย และมีสนับแข้งเป็นแผ่นสำริดดุนลายเช่นกันปิดถึงหลังเท้า ด้านหลังคลุมผ้าสีน้ำเงิน สีเขียว สีทองหรือสีดำ มักถือหอกและโล่กลมแบบนักรบไวกิ้งด้วย


Vakyrie by Iribel ภาพจาก http://www.deviantart.com


ที่ผทบรรยายมานี้ ก็คือภาพลักษณ์ของนักรบหญิงไวกิ้ง ที่เรียกกันว่า Shieldmaiden นั่นเองครับ ในวัฒนธรรมของพวกนอร์สจะมีกลุ่มนักรบหญิงที่ว่านี้ที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคน พวกเธอมักถูกเรียกว่าเป็นวัลคีรีส์ในท่ามกลางสมรภูมิ และต่างก็มีบทบาททัดเทียมชายทั้งในการออกไปสู้รบในดินแดนอื่น หรือเพื่อป้องกันบ้านเมืองของตน

รูปภาพของวัลคีรีส์ในงาน art สมัยใหม่ บางส่วนนิยมเขียนให้มีปีกนกสีดำอยู่เบื้องหลัง เพราะนางฟ้าแห่งสงครามเหล่านี้จริงๆ แล้วเหมือน กินรี ในตำนานไทยเราครับ ผมจะนำมาเล่าโดยละเอียดอีกที ถ้าไม่ลืมนะ  

ตามความเชื่อของชาวไวกิ้ง ไม่ว่า ณ ที่ใดที่เหล่ามนุษย์กำลังต่อสู้กันอย่างนองเลือด จอมเทพโอดินและกองทัพวัลคีรีส์นับพันจะปรากฏเหนือท้องฟ้าเบื้องบน ในลักษณะของกลุ่มเมฆหมอกดำทะมึน พร้อมกับเสียงหวีดหวิวของพายุอันน่าสะพรึงกลัว พระเป็นเจ้าและเหล่าเทพนารีของพระองค์จะทรงคัดเลือกดวงวิญญาณของผู้กล้า โดยกำหนดให้พวกเขาต้องทอดร่างลงบนพื้นดิน วิญญาณนักรบที่ตายในสงครามอย่างกล้าหาญจะถูกฉุดขึ้นไปบนหลังม้าศึกของเหล่านางฟ้าวัลคีรีส์ผู้งดงาม ไปสู่ หอวัลฮัลลา (Valhalla)




หอวัลฮัลลา หรือหอวีรชนแห่งโอดิน คืออัครสถานอันสถิตอยู่กลางทุ่งแห่งแสงสว่างที่ประกอบด้วยประตูถึง 540 แห่ง แต่ละแห่งกว้างใหญ่เพียงพอสำหรับนักรบจำนวน 800 คนสามารถเดินผ่านได้ในเวลาเดียวกัน

ณ ที่นี้ วิญญาณของเหล่าผู้กล้าจะถือกำเนิดขึ้นใหม่ ในฐานะกองกำลังปีศาจแห่งจอมเทพโอดินครับ และพระองค์จะต้องสะสมกองกำลังนี้ให้เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ให้มีปริมาณมากพอที่จะเข้าสู่มหาสงครามครั้งสุดท้ายกับเหล่ายักษ์ในวันสิ้นโลก


ภาพจาก http://www.geocaching.com


ดังนั้น ผู้กล้าหาญจึงเป็นผลตอบแทนเพียงสิ่งเดียวที่พระเป็นเจ้าแห่งอัสการ์ดทรงต้องการจากมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา เพื่อปกป้องมวลมนุษย์เหล่านั้นในท้ายที่สุดครับ

ส่วนมหาเทวีเฟรยา เทวีแห่งความงาม ความอุดมสมบูรณ์ และเวทมนต์คาถา ที่ในสายวิชาของผมกำหนดให้บูชาคู่กับจอมเทพโอดิน ก็ทรงมีบทบาทสำคัญในภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์นี้เช่นกันครับ

เพราะในฐานะที่เป็นนางพญาแห่งวัลคีรีส์  มหาเทวีผู้ทรงสิทธิ์ขาดในการบังคับบัญชากองทัพนางฟ้าแห่งสงครามของจอมเทพโอดิน พระนางก็คือนางพญายมผู้คัดเลือกดวงวิญญาณเหล่านักรบ


ภาพโดย Mitziasto Wiuff


กล่าวอย่างง่ายที่สุดก็คือ ทรงมีอำนาจเต็มในการพิพากษาว่าใครควรจะอยู่หรือควรจะตายนั่นเองครับ 

ตำแหน่งนางพญาแห่งวัลคีรีส์นี้ ยังทำให้พระนางทรงได้รับสิทธิ์ในการแบ่งดวงวิญญาณเอนแฮร์ยาร์ถึงครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดที่ได้จากการรบแต่ละครั้ง เพื่อนำไปฝึกฝนการใช้ไสยเวทมนตราเป็นพิเศษ ณ ที่ประทับของพระนางด้วย

มหาเทวีเฟรยาทรงมีปราสาทเป็นของพระนางเอง คือ เซสสเรียมเนียร์ (Sessrymnir) อยู่ในอาณาจักรที่เรียกกันว่า โฟล์ควัง (Folkwang) เป็นที่พำนักของวิญญาณของเหล่านักรบ ซึ่งทรงแบ่งมาครึ่งหนึ่งจากเอนแฮร์ยาร์ทั้งหมดที่ตายอย่างกล้าหาญในสงครามแต่ละครั้งดังกล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ปราสาทดังกล่าวก็ยังเป็นสถานที่ต้อนรับดวงวิญญาณของภรรยาที่ฆ่าตัวตายตามสามี หรือ Shieldmaiden ที่ตายเคียงบ่าเคียงไหล่กับบุรุษในการสู้รบ

เซสสเรียมเนียร์ จึงเป็นประจักษ์พยานของความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชายในสังคมนอร์ส ในฐานะของความเป็นผู้กล้า ซึ่งยากจะหาได้ในวัฒนธรรมอื่นครับ

และมหาเทวีเฟรยา ก็ทรงปกครองทุกดวงวิญญาณในปราสาทของพระนางอย่างดีที่สุด จนกล่าวได้ว่า เหล่าวีรชนเมื่อตายแล้วพึงหาความสุขอย่างล้นเหลือได้ในวัลฮัลลา แต่ที่ซึ่งเป็นความสุขอย่างสมบูรณ์แท้จริงนั้น อยู่ในเซสสเรียมเนียร์



……………………………



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

6 comments:

  1. ถ้าจะศึกษารูนส์ต้องชอบสงครามแบบไวกิ้งด้วยมั้ยคะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ไม่จำเป็นครับ แต่ที่สำคัญคือ ต้องเป็นคนกล้าหาญ ตรงไปตรงมา ยึดมั่นในสัจจะ นิสัยแบบนักรบละครับพูดง่ายๆ และที่จริงพวกเราก็สามารถมีจิตวิญญาณของนักรบที่พร้อมต่อสู้ในสงครามที่เป็นนามธรรม เช่น การก้าวไปให้ถึงอุดมการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง และการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต โดยไม่ต้องชื่นชอบสงครามที่เป็นรูปธรรมครับ

      Delete
  2. กระจ่างอีกครั้งกับเรื่องของวัลคีรี่ส์และวัลฮัลลา

    ReplyDelete
  3. เรื่องสนุกดี ชอบที่สุดก็ตรงภาพประกอบรูปสุดท้ายนี่แหละ :D

    ReplyDelete
    Replies
    1. เห็นแมวละไม่ได้เชียวคนนี้ :D

      Delete

Note: Only a member of this blog may post a comment.