Sunday, July 24, 2016

ไขปริศนาแห่งจอมเทพโอดิน





เทวปกรณ์ไม่ว่าในศาสนาใด ล้วนมีลักษณะของความขัดแย้งในตัวของมันเองปะปนอยู่ครับ

ทั้งนี้ก็เพราะว่า เป็นสิ่งที่มนุษย์เราได้ต่อเติมเสริมแต่งขึ้นจากแก่นสารแห่งความเป็นจริงดั้งเดิม ที่มีอยู่น้อยมากนั่นเอง

เทวปกรณ์ของจอมเทพโอดินก็เช่นกัน ล้วนเต็มไปด้วยข้อขัดแย้งที่เห็นได้ชัดมากครับ

นั่นคือ ถ้าหากว่าพระองค์ทรงเป็นพระเป็นเจ้าผู้สร้างโลกด้วยเทวานุภาพอันมหาศาลจริงๆ ตามที่มีการร้อยเรียงเป็นตำนานแพร่หลายกัน

แล้วเพราะเหตุใด? พระองค์จึงต้องทรงเสียสละพระองค์เองอย่างหนักหนาสาหัส เพื่อแสวงหาญาณหยั่งรู้อนาคต และความลี้ลับของจักรวาล หรือยอมสละพระเนตรเพื่อให้ได้ความรอบรู้

ทั้งๆ ที่ทั้งสองสิ่งนี้ควรจะมีอยู่แล้ว ในพระเป็นเจ้าองค์ใดก็ตาม ที่ทรงมีเทวานุภาพถึงขั้นสร้างโลกทั้งหมดขึ้นมาได้ จริงมั้ยครับ?
         
บรรดาเรื่องเล่าของชาวนอร์ส ที่อ้างถึงการเดินทางของพระองค์ เพื่อทอดพระเนตรความเป็นไปในมิดการ์ด ก็เช่นกัน ที่นักเทววิทยาส่วนมากเห็นว่าไม่ใช่สิ่งจำเป็นเลยสำหรับพระเป็นเจ้าผู้สร้างมิดการ์ดขึ้นมาด้วยพระองค์เอง

เพราะในเทวตำนาน ก็บอกอยู่แล้วว่าเพียงประทับบนลีดสคีออลฟ์ ก็ทรงรู้เห็นความเป็นไปของโลกทั้งหมดอยู่แล้วไงครับ โดยเฉพาะอย่างน้อยก็ทรงได้รับข่าวสารทั่วโลกจากอีกาทั้งสองตลอดเวลา

เทพนิยายในสองส่วนนี้ จึงขัดกันเอง

หรือแม้แต่การที่ทรงถูกลิขิตไว้แล้วว่า จะต้องสิ้นพระชนม์โดยพญาสุนัขป่าเฟนเรียร์ ทั้งที่ถ้าทรงเป็นบิดาแห่งสรรพสิ่ง พระองค์ควรเป็นผู้อยู่เหนือชะตากรรมทั้งปวงมากกว่า




จริงอยู่ละครับ ที่ยังมีอีกหลายๆ เหตุการณ์ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทรงใช้อิทธิฤทธิ์อยู่บ้าง แต่ถ้าจะว่ากันอย่างเป็นธรรมแล้วนะครับ ก็เป็นอิทธิฤทธิ์เพียงเล็กน้อยในระดับที่ผู้วิเศษชาวมนุษย์คนไหนก็ทำได้

ไม่ต้องถึงขนาดพระเป็นเจ้าผู้สร้างโลกในปฐมกาล ซึ่งดูเหมือนจะสำแดงเทวานุภาพที่ในขั้นที่เหมาะสมอีกเพียงครั้งเดียวหลังจากการสร้างสรรพสิ่ง

คือการพิพากษาบุตรธิดาแห่งโลคี ด้วยการโยนบุตรคนรอง คือ พญางูโยร์มุนกันด์ (Jormungand) ลงไปในมหาสมุทรแห่งมิดการ์ด และโยนธิดาแห่งโลคี คือ เฮล (Hel) ไปครองปรโลกเท่านั้น

เหตุการณ์นี้เพียงเหตุการณ์เดียวเองครับ ที่บอกเล่าถึงมหิทธานุภาพของ พระเป็นเจ้าผู้สร้างโลก อย่างแท้จริง

ยิ่งไปกว่านั้น การจำแลงพระองค์ในคราบชายชราสวมหมวกปีกกว้าง สวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงินถือไม้เท้า ก็เป็นลักษณะทั่วไปของพ่อมด หรือผู้ทรงอาคมในสมัยโบราณอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ

และการบูชายัญพระองค์เองบนพฤกษาโลก เพื่อแสวงหาปรีชาญาณแห่งรูนส์นั้น เอ็ด ฟิทช์ (Ed Fitch) ผู้เขียนหนังสือ The Rites of Odin ก็ชี้ให้เห็นว่า เหมือนพิธีกรรมของนักไสยเวทไซบีเรียนในสมัยโบราณ ซึ่งนิยมกระทำกันเพื่อจะเข้าถึงญาณหยั่งรู้อนาคต หรือความลี้ลับอันสูงสุดแห่งชีวิตและความตาย ซึ่งแม้แต่หมอผีอเมริกันอินเดียนบางเผ่าก็ปฏิบัติเช่นนี้


หน้าไพ่ The Rune จาก Viking Card
ของ Gudrun G. Bergmann และ Olafur G. Gudlaugsson

ด้วยเหตุนี้ จึงมีนักเทววิทยาสแกนดิเนเวียจำนวนมากที่คิดว่า จอมเทพโอดินทรงเคยเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งได้ถูกยกย่องเป็นเทพเจ้าในภายหลังอย่างแน่นอน

ส่วนที่ว่าเหตุใดพระองค์จึงทรงเกี่ยวข้องกับการสร้างโลก ก็เพราะว่าในธรรมเนียมของชนชาติต่างๆ ทั่วโลกนั้น ย่อมมีตำนานอธิบายกำเนิดโลกและมนุษย์ไปต่างๆ กัน และชนชาติใดนับถือเทพองค์ใดเป็นเทพสูงสุด ก็มักยกย่องให้เทพองค์นั้นเป็นพระเป็นเจ้าผู้สร้างโลกเสมอ

โดยเฉพาะการสร้างโลกของจอมเทพโอดินนั้น เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปแล้วละครับ ว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นภายหลัง โดยแรงบันดาลใจจากเรื่องของปฐมกาลในศาสนาคริสต์นั่นเอง

ดังนั้น ถ้าตัดเรื่องการสร้างโลก และการลงทัณฑ์บุตรแห่งโลคีออกจากตำนานแห่งจอมเทพโอดิน เทวปกรณ์ของพระองค์ก็จะมีเหตุมีผล และมีเนื้อหาที่สอดคล้องกันได้แทบทั้งหมดครับ

ซึ่งนั่นก็คือ พระองค์น่าจะเคยเป็นพ่อมดผู้ทรงอาคม หรือผู้วิเศษท่านหนึ่งในยุคบรรพกาล ซึ่งได้ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ จนเป็นที่รู้จักในรูปลักษณ์ของชายชราที่ตาบอดข้างหนึ่งกับผ้าคลุมสีน้ำเงิน หมวกปีกกว้างและไม้เท้า แสวงหาปรีชาญาณและความรอบรู้

ด้วยภาพจำเช่นนี้ พระองค์ทรงกระทำเรื่องต่างๆ ที่ทำให้มีคนเล่าสืบต่อกันเป็นตำนาน และเป็นที่นับถือในฐานะจอมปราชญ์ ซึ่งอาจได้เข้าถึงความรู้แจ้งอย่างแท้จริง จนได้เลื่อนทิพยฐานะกลายเป็นเทพเจ้าหลังจากตายไปแล้วนั่นเอง

อาจบางที ผู้วิเศษท่านนี้จะเป็นผู้นำชาวนอร์สเผ่าใดเผ่าหนึ่งด้วย เพราะในวัฒนธรรมนอร์สสมัยแรกๆ นั้น ผู้นำมักเป็นทั้งนักรบและผู้วิเศษในคนคนเดียวกัน

จอมเทพโอดินทรงแสดงคุณลักษณะทั้งสองประการนี้ให้เห็นอย่างชัดเจนครับ พระองค์ทรงเป็นนักรบที่บูชาความรู้ และยกย่องคนฉลาด  ทรงทำสงครามด้วยปัญญามากกว่ากำลัง

เรื่องราวของพระองค์โดยแท้จริง จึงไม่ใช่เรื่องของพระเป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ หากเป็นเรื่องของบุคคลยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง ที่ทำทุกสิ่งอย่างดีที่สุด เพื่อความสำเร็จอย่างแท้จริงที่เป็นอมตะ ยิ่งกว่าการมีชีวิตยั่งยืนไปชั่วกัลปาวสาน

และเมื่อเปรียบเทียบกับความสามารถของชาวนอร์สในการถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ โดยมุขปาฐะ ซึ่งมักจะไม่สามารถเก็บรักษาเรื่องราวที่ย้อนหลังไปไกลเกินกว่า 1,000 ปีก่อนหน้านั้นได้มากนัก

ผู้เชี่ยวชาญบางท่านจึงคิดว่า เรื่องราวของพระองค์ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ อาจไม่เก่าแก่มากไปกว่าช่วงระยะเวลา 500-800 ปีก่อนยุคไวกิ้งด้วยซ้ำไป
         
บางทีอาจมีหลักฐานที่สนับสนุนความคิดนี้ ในพงศาวดารนอร์เวย์เรื่อง เฮมสครีงลา (Heimskringla) ซึ่งแต่งโดย สนอร์รี สเตอร์ลูสซัน (Snorri Sturlusson) และเป็นวรรณคดีสำคัญที่เด็กๆ ชาวนอร์เวย์ทุกคนต้องเรียนนั้น ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า

จอมเทพโอดินคือต้นวงศ์กษัตริย์นอร์เวย์พระองค์หนึ่ง ซึ่งมีภูมิสถานเดิมอยู่ในดินแดนแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลดำ และบางส่วนของรัสเซีย


อนุสาวรีย์ของสนอร์รี สเตอร์ลูสซัน ที่เบอร์เกน นอร์เวย์

จากพงศาวดารดังกล่าว สนอร์รีระบุไว้อย่างชัดเจนทีเดียวว่า ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำทานาอิส (Tanais) นั้นเป็นที่ตั้งของนครอัสการ์ด ปกครองโดยผู้นำหรือกษัตริย์ที่ทรงมีพระนามว่า โอดิน

ต่อมาเมื่อพวกโรมันแผ่อำนาจเข้าไปถึงดินแดนดังกล่าว กษัตริย์โอดินก็อพยพผู้คนของพระองค์ทิ้งเมืองอัสการ์ด ข้ามรัสเซียและเยอรมันมาสู่ดินแดนแถบทะเลบอลติก ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่นี่ และพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ลงที่นี่เช่นเดียวกัน

สนอร์รีกล่าวว่า กษัตริย์โอดินพระองค์นี้แหละ ที่ทรงเป็นต้นกำเนิดของจอมเทพโอดิน ทั้งยังอ้างด้วยว่าตัวเขาเองก็สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์พระองค์นี้ โดยเป็นทายาทรุ่นที่ 33
         
ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล (Thor Heyerdahl) นักมานุษยวิทยา และนักสำรวจชื่อดังของนอร์เวย์ ซึ่งประทับใจในพงศาวดารเฮมสครีงลามาแต่เยาว์วัย ได้ตัดสินใจพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้ ซึ่งเขาหวังว่าจะเป็นการค้นพบทางโบราณคดีอันยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายช่วงบั้นปลายของชีวิต


ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล

เขากล่าวว่า แม่น้ำทานาอิสในตำนานนั้น ปัจจุบันคือแม่น้ำ ดอน (Don) ที่ไหลลงสู่ทะเลดำ และบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำนั้นมีเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบอยู่เมืองหนึ่ง มีชื่อว่า อาซอฟ (Azov)
         
ที่จริงอาซอฟเคยเป็นเมืองท่าที่แน่นขนัดด้วยเรือและผู้คน แต่เมื่อสายน้ำเปลี่ยนทางเดิน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปด้วย

ธอร์มาถึงเมืองนี้และลงมือทำการขุดค้นในปี ค.ศ.2001 ด้วยการทุ่มเงินถึง 100,000 เหรียญสหรัฐ ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของบรรดานักประวัติศาสตร์สแกนดิเนเวีย ซึ่งเห็นว่าเฮมสครีงลาเป็นเพียงตำนานเท่านั้น
         

แผนที่โบราณของเมืองอาซอฟ และแม่น้ำทานาอิส

แต่ธอร์ก็มีแนวความคิดที่น่าสนใจครับ เขาเห็นว่าเมื่อสนอร์รีซึ่งมีชีวิตอยู่ในคริสตศตวรรษที่ 13 อ้างตนว่าเป็นทายาทรุ่นที่ 33 ของกษัตริย์โอดิน กษัตริย์พระองค์นั้นก็ควรมีพระชนม์ชีพอยู่ในช่วง 100 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งสอดคล้องกับระยะเวลาที่ขุนศึก ลูคุลลุส (Lucullus) และ ปอมเปย์ (Pompey) ของโรมันเข้าไปรุกรานและยึดครองดินแดนต่างๆ แถบทะเลดำพอดี
         
ในการขุดค้น ธอร์ได้พบโบราณวัตถุสมัยโรมันเป็นจำนวนมาก และเมื่อเขาขุดลึกลงไปถึง 8 เมตร ก็ได้พบเศษภาชนะดินเผา และเศษเครื่องเงินที่มีคำนวณอายุได้ในราวๆ 100 ปีก่อนคริสตกาลจริงๆ
         
แต่แม้จะได้พบโบราณวัตถุที่อาจจะเก่าถึงรัชสมัยของกษัตริย์โอดินในตำนาน นักโบราณคดีสแกนดิเนเวีย (ซึ่งก็เหมือนกับนักโบราณคดีทั่วโลก) ก็ยังลังเลที่จะเชื่อสมมุติฐานของธอร์ ตราบใดที่ยังไม่มีการค้นพบหลักฐานที่ชี้ชัดได้มากกว่านั้น

หลายคนชี้ว่า เป็นการยากที่จะพิสูจน์ความจริงแท้ของเฮมสครีงลา ในเมื่อพงศาวดารดังกล่าวมีข้อขัดแย้งในตัวของมันเองมาตั้งแต่ต้น

เช่นการที่สนอร์รีระบุว่า ประเพณีหนึ่งที่กษัตริย์โอดินนำมาจากนครอัสการ์ดแห่งลุ่มแม่น้ำทานาอิสเดิมคือ การเผาศพ แต่จากการขุดค้นทางโบราณคดีกลับพบว่า การเผาศพเป็นธรรมเนียมเก่าแก่ของชนชาติต่างๆ ในสแกนดิเนเวียอยู่แล้ว

และเมื่อ 2,100 ปีมาแล้ว ซึ่งสนอร์รีอ้างว่า กษัตริย์โอดินอพยพผู้คนมาตั้งรกรากในทะเลบอลติก ก็กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ชนชาติต่างๆ ในแถบนี้เลิกประเพณีเผาศพ หันมาใช้การฝังแทน


ปกหนังสือ โพรสเซ เอ็ดดา ฉบับพิมพ์ครั้งแรก
         
นอกจากนี้ ในงานประพันธ์อีกชิ้นหนึ่งของสนอร์รี คือ โพรสเซ เอ็ดดา ก็กลับระบุว่าถิ่นฐานเดิมของกษัตริย์โอดินคือกรุงทรอย ซึ่งเป็นสมรภูมิครั้งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกโบราณดังที่มีการบันทึกไว้ใน มหากาพย์อีเลียด (Iliad)

เห็นได้ชัดว่า แม้แต่สนอร์รีเองก็ยังสับสนเกี่ยวแก่ที่มาของกษัตริย์โบราณ ซึ่งเขาอ้างไว้ในเฮมสครีงลาว่าเป็นบรรพชนของเขา


ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล ถึงแก่กรรมในปี 2002 เมื่อการขุดค้นฤดูกาลที่สองได้จบสิ้นลง ทิ้งสมมุติฐานของเขา และคำบอกเล่าของ สนอร์รี สเตอร์ลูสซัน ไว้ให้เป็นเพียงปริศนาต่อไปชั่วกาลนาน



……………………………


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

Friday, July 8, 2016

มหาเทพกับอักษรรูนส์


ในบรรดาอักษรรูนส์ทั้งหมดนั้น มีอักษรที่สัมพันธ์กับคณะเทพของอาซาทรูอยู่หลายตัวครับ

แต่ที่มี ศักดิ์ สูงสุด มีอยู่ 5 ตัว คืออักษรที่สัมพันธ์กับเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ 5 องค์ ได้แก่ จอมเทพโอดิน มหาเทวีเฟรยา มหาเทพธอร์ มหาเทพเฟรย์ และมหาเทพเทียร์




อักขระทั้ง 5 ซึ่งมีศักดิ์สูงสุดนี้ หมายความว่า พลังอำนาจของมันจะมีผลกระทบต่ออักขระอื่น ที่เสี่ยงทายออกมา แล้วมาอยู่ในตำแหน่งที่เชื่อมโยงกันนะครับ

เช่นในระดับพื้นฐานที่สุด ถ้าอักขระทั้ง 5 นี้ ปรากฏอยู่ข้างเคียงอักขระที่บ่งบอกถึงสิ่งเลวร้าย เช่น Nyd อัตราความยากลำบาก หรืออุปสรรคที่จะเกิดขึ้นจะลดลง และครอบคลุมระยะเวลาที่น้อยกว่าเมื่อ Nyd นั้นปรากฏร่วมกับอักษรรูนส์อื่นๆ

นั่นคือ เทวานุภาพขององค์เทพ ที่สถิตในอักษรรูนส์ทั้ง 5 นี้ มีพลังที่ช่วยลดทอนความเลวร้ายของสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริงได้นะครับ ในการใช้รูนส์แต่ละครั้ง จะต้องคำนึงถึงจุดนี้ด้วย

นอกจากนั้น เมื่ออักษรรูนส์ทั้ง 5 นี้ ปรากฏในตำแหน่งที่เป็นคำแนะนำ หรือบทสรุป ก็จะเป็นการสื่อว่า ความสำเร็จใดๆ ที่จะเกิดขึ้น จะต้องใช้คุณสมบัติขององค์เทพเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งก็คือความหมายของอักขณะเหล่านี้ ตามที่ผมเคยบรรยายไปแล้วนั่นเอง

ในทำนองเดียวกัน การผ่อนปรนหรือถ่ายถอนความล้มเหลว หรือหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็ต้องใช้คุณสมบัติขององค์เทพเหล่านี้เช่นกัน

และถ้าอักษรรูนส์ทั้ง 5 นี้ ปรากฏในลักษณะกลับหัว ในส่วนสำคัญของการพยากรณ์ คือ พื้นฐานของปัญหา, สภาพปัจจุบันของผู้รับการทำนาย และ คำตอบ ก็ทำใจได้เลยว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้นหนักหนาสาหัสมากครับ เป็นโชคร้ายอย่างแท้จริง

ซึ่งถึงแม้รูนส์จะให้คำแนะนำในท้ายที่สุด ว่าควรทำอย่างไรกับปัญหานั้น แต่ถ้าอักขระที่เป็นคำแนะนำ มีศักดิ์น้อยกว่าอักขระเทพทั้ง 5 นี้ คำแนะนำนั้นก็มีผลเพียงช่วยให้เราเจ็บตัวน้อยลง ไม่ใช่ถึงกับผ่อนหนักเป็นเบานะครับ

ถ้าคำแนะนำเป็นอักษรรูนส์ทั้ง 5 นี้ ในลักษณะตั้งตรง ปัญหาที่เกิดขึ้นจะมากมายแค่ไหนก็มีหนทางผ่อนหนักเป็นเบาแน่นอน ถ้าผู้รับการทำนายทำตามคำแนะนำนั้น

ต่อไปนี้ มาดูกันทีละตัวอักษรนะครับ




จอมเทพโอดิน อักษรที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์โดยตรง คืออักษร A มีชื่อเรียกในภาษายุโรปโบราณว่า อันเซอร์ (Ansur) หรือ อันซุซ (Ansuz) ภาษานอร์สโบราณเรียกว่า ออสส์ (Ass) ซึ่งหมายถึงเทพเจ้า บรรพชน สายลม หรือลมหายใจก็ได้

คำนี้เป็นรากศัพท์ของคำว่า Asgard ซึ่งภาษานอร์สโบราณออกเสียงว่า ออสการ์ด และภาษาสวีเดนหรือสเวนสคาออกเสียงว่า ออสกวร์ด นั่นเอง




เมื่อมีการนำอักษรรูนส์มาประดิษฐ์เป็นไพ่พยากรณ์ เช่นเดียวกับไพ่ทาโรต์ หน้าไพ่ประจำอักขระ A จึงมักบรรยายถึงจอมเทพโอดินโดยตรง เช่นไพ่รูนส์ชุด The Power of the Runes ของ โธมัส เฟอเมล (Thomas Vömel) อันเป็นไพ่รูนส์สำรับที่ดีที่สุดในขณะนี้




โธมัสไม่เพียงแต่จะใช้รูปจอมเทพโอดินในหน้าไพ่ประจำอักขระดังกล่าวเท่านั้น ยังใช้ในอักขระ E (Ehwaz) และ D (Dagaz) อีกทั้งยังใช้เป็นภาพหน้ากล่องของไพ่ทั้งสำรับด้วย นับว่าเป็นไพ่ที่น่ามีไว้ครอบครอง สำหรับผู้ศึกษาเรื่องของจอมเทพโอดินและรูนส์ทุกคน แนะนำด้วยความจริงใจอย่างยิ่งครับ




มหาเทวีเฟรยา ทรงมีอักษรรูนส์ที่เกี่ยวข้องกับพระนาง คืออักษร B มีชื่อเรียกในภาษายุโรปโบราณว่า เบออร์ค (Beorc) หรือ เบอร์คานา (Berkana) ภาษานอร์สโบราณเรียกว่า บยาร์คาน (Bjarkan) ซึ่งหมายถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ความสวยงาม การบำบัด ความสุขทางกามารมณ์ หญิงที่สวยงามหรือแสนดีคนหนึ่ง และเรื่องของผู้หญิง

สำหรับไพ่รูนส์ชุด The Power of the Runes มิได้ใช้รูปภาพของมหาเทวีเฟรยากับหน้าไพ่ประจำอักขระ B แต่กลับใช้กับหน้าไพ่ประจำอักขระ C หรือ Z คือ อัลกีซ (Algiz) แทน ในลักษณะของนางพญาแห่งวัลคีรีส์ที่เปลือยเปล่า ประทับบนหลังกวางใหญ่ 




ภาพนี้มีผู้กล่าวว่า หมายถึงนางฟ้าวัลคีรีส์องค์ใดองค์หนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าดูจากความหมายของอักขระ ที่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพศหญิง ที่มีพลังในการปกป้องคุ้มครองอย่างสูง รวมทั้งลักษณะที่เปลือยกาย ก็สื่อถึงเรื่องกามารมณ์ด้วย ก็ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า หน้าไพ่ดังกล่าวจงใจสื่อถึงมหาเทวีเฟรยา มากกว่าพวกวัลคีรีส์ทั่วไป ซึ่งไม่มีภาพลักษณ์ในด้านของการปกป้องคุ้มครอง และเรื่องเซ็กซ์





สำหรับอักษรรูนส์ที่เกี่ยวข้องกับ มหาเทพธอร์ โดยตรง คืออักษร Th มีชื่อเรียกในภาษายุโรปโบราณว่า ธอร์น (Thorn) หรือ ธูริซาซ (Thurisaz) ภาษานอร์สโบราณเรียกว่า เธิร์ส (Thurs) หมายถึง พลังอันแสดงออกอย่างไร้การควบคุม ความเอาแต่ใจตนเอง ความเกรี้ยวกราด และกิเลสตัณหา

แม้ว่าความหมายของอักขระนี้โดยภาพรวมเป็นเรื่องร้ายมากกว่าดี แต่มันก็เป็นอักขระที่ทรงอานุภาพเสมอในการปกป้องคุ้มครอง และเป็นหนึ่งในยันต์สำหรับใช้ทำลายสิ่งชั่วร้ายด้วยครับ




ในไพ่รูนส์ชุด The Power of the Runes ได้ใช้รูปของมหาเทพธอร์ในไพ่ประจำอักขระ Th และอักขระ R (Raido) แสดงให้เห็นว่าเป็นอักษรรูนส์ที่สัมพันธ์กับมหาเทพองค์นี้




การทำหน้าไพ่ R เป็นรูปมหาเทพธอร์เช่นนี้ ทำให้ไพ่ดังกล่าวมีศักดิ์สูงกว่าไพ่อื่นๆ ในสำรับเดียวกัน จนเกือบจะทัดเทียมกับไพ่ Th เช่นเดียวกับ E และ D ที่มีรูปภาพของจอมเทพโอดิน และมีศักดิ์ หรือ พลัง เกือบจะทัดเทียมกับไพ่ประจำอักขระ A

ในขณะที่ไพ่ประจำองค์เทวีเฟรยาคือ B มีศักดิ์เหนือกว่าไพ่ใบอื่นไม่มากนัก เพราะไม่มีรูปลักษณ์ของพระนางดังกล่าวแล้ว แต่พระนางกลับปรากฏในไพ่ประจำอักขระ C แทน

สิ่งเหล่านี้ ทำให้ไพ่รูนส์ชุด The Power of the Runes มีหน้าไพ่ที่มีศักดิ์สูงทั้งที่เหมือนและแตกต่างกับอักษรรูนส์โดยทั่วไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้พยากรณ์ด้วยไพ่ดังกล่าวจะต้องจดจำให้ได้นะครับ




มหาเทพเฟรย์ (Frey) เป็นเทพแห่งแสงอาทิตย์และอากาศอันอบอุ่น ทรงเป็นพระเชษฐาของมหาเทวีเฟรยา เป็นเทพวงศ์เดียวกันคือวงศ์ วาเนียร์ (Vanir) ทรงปกครองดินแดนของพวกเอลฟ์หรือ อัลฟ์เฮม (Alfheim) พระองค์ทรงมีเทพอาวุธซึ่งมีอานุภาพมาก คือ ดาบประกายแสง

ทรงเป็นมหาเทพอีกองค์หนึ่งที่ได้รับความนิยมบูชากันมากทั่วไป ในหมู่ชาวนาและผู้เลี้ยงสัตว์ชาวนอร์สครับ ถึงกับบางสมัย ทรงได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน 3 พระเป็นเจ้าสูงสุดของอาซาทรู เทียบเคียงกับจอมเทพโอดิน และมหาเทพธอร์เลยทีเดียว

อักษรรูนส์ที่เกี่ยวข้องกับมหาเทพเฟรย์ คือ อักษร F มีชื่อเรียกในภาษายุโรปโบราณว่า เฟโอห์ (Feoh) หรือ เฟฮู (Fehu) หมายถึงแก้วแหวนเงินทอง สิ่งของมีค่า เงินตรา การได้ครอบครองทรัพย์สินเลอค่า ความมั่งคั่งร่ำรวย อยู่ดีกินดี ความเพียบพร้อม ความอุดมสมบูรณ์ และสื่อถึงการลงแรงและความทุ่มเทเพื่อให้มีฐานะที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในไพ่รูนส์ชุด The Power of the Runes ไม่มีหน้าไพ่ที่มีรูปภาพของพระองค์ครับ




มหาเทพเทียร์ (Tyr) ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม และความกล้าหาญ ตามเทวตำนานพระองค์ทรงเสียสละตนเอง ด้วยการยอมให้ พญาสุนัขป่าเฟนเรียร์ (Fenrir) กัดมือข้างหนึ่ง เพื่อจะพันธนาการมันเอาไว้ไม่ให้ออกมาทำร้ายมวลมนุษย์ จนกว่าจะถึงวันสิ้นโลก

ผลคือ พระองค์ต้องสูญเสียมือข้างนั้นไป แต่ได้รับการยกย่องและจดจำในฐานะวีรบุรุษ และทรงเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ ตามทรรศนะของชาวไวกิ้ง

อักขระที่สัมพันธ์กับมหาเทพเทียร์ คือ อักษร T มีชื่อเรียกในภาษายุโรปโบราณว่า เทียร์ (Tyr) หรือ เทห์วาซ (Teiwaz) หมายถึง สงคราม ความยุติธรรม กฎระเบียบ ข้อบัญญัติต่างๆ คดีความ การเป็นผู้นำ การควบคุมฝูงชน การแข่งขัน การตัดสินใจ การต่อสู้ การกีฬา




การปรากฎของอักขระนี้ จึงสื่อความหมายว่า จะต้องเหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็นเลยทีเดียว จะต้องยอมสูญเสีย เพื่อให้ได้รับสิ่งที่ต้องการ เพื่อให้ได้รับชัยชนะ หรือจะหมายถึงการบูชายัญก็ได้ ดังที่ในไพ่รูนส์ชุด The Power of the Runes สื่อถึงเทพองค์นี้ในลักษณะกึ่งนามธรรม ท่ามกลางสงครามที่กำลังต่อสู้กันอย่างสยดสยอง

สรุปคือ ในอักขระรูนส์โดยทั่วไป อักษรเทพที่มีศักดิ์สูงมีเพียง 5 ตัว คือ  A, B, F, T และ Th

ส่วนในไพ่รูนส์ชุด The Power of the Runes หน้าไพ่ที่มีศักดิ์สูงมีถึง 7 ใบ คือ  A, C, D, E, R, T และ Th

ส่วนไพ่ B และ F นั้น นับว่ามีศักดิ์รองลงมา แต่ก็ยังสูงกว่าหน้าไพ่ใบอื่น เพราะตัวอักษรประจำหน้าไพ่เกี่ยวของกับเทพเจ้ามาแต่เดิม พลังในแง่บวกของไพ่ B และ F นี้ จึงถึงแม้ว่าจะไม่จัดจ้านเท่าไพ่ที่มีศักดิ์สูงกว่า แต่ก็ช่วยลดทอนพลังด้านลบของหน้าไพ่ใบอื่นได้ระดับหนึ่งครับ

ส่วนไพ่รูนส์สำรับอื่นๆ ถ้าหากว่าหน้าไพ่ระบุองค์เทพโดยตรง ก็ต้องถือว่าเป็นหน้าไพ่ที่มีศักดิ์สูงกว่าไพ่ใบอื่นในสำรับเดียวกันครับ ในการพยากรณ์ก็ใช้หลักเดียวกันนี้ได้ เว้นแต่คนทำหน้าไพ่เขาจะระบุตายตัวมาเลยว่า ในการ cast หรือวางไพ่แต่ละใบในแต่ละรูปแบบนั้น ให้แยกกันตีความ ไม่มีการเชื่อมโยงกัน

สิ่งที่ผมบอกไปแล้วทั้งหมดนี้ จึงใช้กับไพ่รูนส์ได้หลายๆ สำรับ บางสำรับก็ใช้ไม่ได้ ขณะที่ไพ่ Tarot จะนับไพ่ที่มีศักดิ์สูง (Major Arcana) เป็นมาตรฐานไว้ 22 ใบ ทุกสำรับอยู่แล้ว ผู้ทำนายไม่จำเป็นต้องปรับตัวไปตามไพ่สำรับที่ใช้




ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ เป็น trick ที่ใช้ทั้งอักษรรูนส์ และ ไพ่รูนส์ชุด The Power of the Runes รวมทั้งยังใช้ได้กับไพ่รูนส์สำรับอื่นๆ ซึ่งเป็นหลักการที่ไม่มีใครเผยแพร่มาก่อน ไม่ว่าจะในเมืองไทยหรือในต่างประเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของผมนะครับ ใครเอาไปเผยแพร่ กรุณาให้เครดิตด้วย 

ไม่อย่างนั้น เอาไปบอกต่อๆ กันแบบมักง่าย แล้วคนที่ทำตามจะไม่ได้ผลอะไรเลยนะครับ เพราะถ้าไม่ให้เครดิตคนที่นำมาเผยแพร่คนแรก ก็เท่ากับเป็นความรู้ที่ขโมยเขามา จอมเทพโอดินทรงรังเกียจนักละครับ พวกมักง่ายขโมยปัญญาชาวบ้านเขาอย่างนี้


แล้วท่านเป็นปรมาจารย์แห่งรูนส์ เอาวิชาท่านไปใช้อย่างไม่ถูกต้องแล้วจะได้ผลเป็นอย่างไร ก็คิดกันเองนะครับ ย้ำอีกที ว่าอาถรรพณ์แห่งรูนส์ เมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่มีใครแก้ไขได้นะครับ



……………………………


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

Tuesday, June 28, 2016

มหาเทพธอร์ จ้าวแห่งอสุนีบาต ผู้สังหารเหล่ายักษ์





ในลัทธิศาสนาอาซาทรู นอกจากจอมเทพโอดินและมหาเทวีเฟรยาแล้ว ไม่มีเทพองค์ใดได้รับการนับถือมากไปกว่ามหาเทพธอร์ (Thor) ผู้ทรงพลังอำนาจแห่งสายฟ้า และทรงมีพละกำลังยิ่งกว่าเทพเจ้าทั้งปวง

          มหาเทพธอร์ทรงเป็นเทพแห่งท้องฟ้า บันดาลให้เกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และสายฝน พระองค์จึงเป็นผู้นำความสมบูรณ์มาสู่ท้องทุ่ง ปศุสัตว์ ป่าไม้ ภูเขาและลำธาร ทรงเป็นหลักประกันความกินดีอยู่ดีของมวลมนุษย์ โดยเฉพาะในภูมิภาคสแกนดิเนเวียอันหนาวเหน็บเยียบเย็น แทบจะไม่มีความอุดมสมบูรณ์ใดๆ

          เทวลักษณะขององค์มหาเทพธอร์นั้นสูงใหญ่แข็งแรง พระเกศาและพระมัสสุเป็นสีแดงเพลิงอันเป็นสัญลักษณ์ของสายฟ้าแลบ พระสุรเสียงก็กังวานกึกก้อง

อย่างไรก็ดี ในยามปกติ พระองค์ทรงมีพระอารมณ์เบิกบานอยู่เสมอ ทรงโปรดปรานงานเลี้ยง การดื่มกินอย่างฟุ่มเฟือย การเล่าเรื่องสนุก พระองค์แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา และไม่ถือพระองค์แม้กับคนที่ต่ำต้อยที่สุด เพราะสำหรับพระองค์แล้วไม่มีคำว่าชนชั้นครับ




แต่ในยามศึก พระองค์จะมุ่งหน้าสู่สนามรบด้วยราชรถ และเผชิญหน้ากับศัตรูของพระองค์อย่างกระตือรือล้น พระองค์พอพระทัยในการต่อสู้ และการพิฆาตปรปักษ์ด้วยฆ้อนวิเศษของพระองค์ ยิ่งเมื่อพระองค์ทรงตะโกนด้วยความโมโห ยิ่งน่าสะพรึงกลัวราวกับเสียงฟ้าฟาด และพระมัสสุสีแดงเพลิงของพระองค์จะมีประกายไฟออกมาเป็นสายฟ้าแลบแปลบปลาบ น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก

ราชรถของมหาเทพธอร์นั้น มีความเร็วยิ่งกว่าราชรถของเทพองค์ใดในอัสการ์ด ทั้งๆ ที่ลากด้วยแพะสองตัว มีชื่อว่า ทังนอสท์ (Tanngnost) และ ทังกรีสเนียร์ (Tanngrisnir) ชาวนอร์สโบราณเปรียบเทียบว่า เสียงฟ้าร้องและฟ้าคำราม คือเสียงกีบเท้าและลมหายใจของแพะคู่นี้ เมื่อพวกมันลากราชรถขององค์เทพอสุนีบาตทะยานไปในฟากฟ้า

ยามใดที่องค์มหาเทพปรากฏพระองค์บนราชรถ ด้วยความเกรี้ยวกราดเช่นนี้ เหล่ายักษ์และอสูรทั้งปวงต่างพากันอกสั่นขวัญแขวน ส่วนพระองค์เองไม่เคยกลัวใคร แม้ในวันสิ้นโลกพระองค์ก็เข้าสู่สนามรบอย่างมุ่งมั่นและกล้าหาญ

สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของมหาเทพธอร์ คือ ฆ้อนวิเศษเมียลเนียร์ (Mjölnir) เทพอาวุธอันทรงอำนาจ ซึ่งเมื่อทรงขว้างออกไปแล้วทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง และตามด้วยฟ้าผ่าเมื่อมันกระทบจุดหมาย




ตามหลักเทวศาสตร์สแกนดิเนเวีย ฆ้อนเมียลเนียร์จึงเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครองจากเทพเจ้า นับแต่โบราณกาลมาจนทุกวันนี้ ผู้นับถือมหาเทพธอร์ย่อมสวมใส่เครื่องรางที่เป็นรูปฆ้อน เชื่อกันว่ามันจะมอบพลังอำนาจในการต่อสู้ ตลอดจนการเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันยากลำบากต่างๆ

นอกจากนี้ในพิธีแต่งงาน ฆ้อนเหล็กอันเป็นสัญลักษณ์ของมหาเทพธอร์จะถูกนำมาใช้ประกอบพิธี เพราะเหตุว่ามหาเทพธอร์ทรงมีความรักอันมั่นคงต่อ เทวีซีฟ (Sif) พระชายาของพระองค์ และพระนางก็ทรงซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียวเช่นกันครับ

แม้แต่ในเทวสถานของมหาเทพธอร์ ก็ต้องมีฆ้อนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจัดทำขึ้นอย่างประณีตเล่มหนึ่ง วางไว้สำหรับใช้ทำพิธีกรรมต่างๆ เหมือนกันทุกแห่ง ในทางเทวศาสตร์อาซาทรูนั้น ถือว่าพิธีกรรมใดๆ ที่เกี่ยวกับมหาเทพธอร์จะสำเร็จไม่ได้ หากปราศจากฆ้อนศักดิ์สิทธิ์นี้




ขณะที่จอมเทพโอดินทรงพอพระทัยในความฉลาด มหาเทพธอร์ก็ทรงโปรดปรานผู้ที่ทำงานหนัก พระองค์ทรงเป็นผู้คุ้มครองที่แข็งแกร่งสำหรับชาวไร่ชาวนาที่ขยันขันแข็ง ชาวนอร์สเชื่อกันว่า ในอาณาจักรของมหาเทพธอร์ ที่ซึ่งถูกเรียกขานว่า ธรูดวัง (Thrudwang) คือที่พำนักหลังความตายของคนเหล่านี้

อันที่จริง ไม่เพียงแต่ชาวนาเท่านั้น แม้แต่เสรีชนทุกคนที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ เมื่อตายจะได้ไปอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ เฉกเช่นวีรชนที่ได้ไปวัลฮัลลา พระองค์จะทรงดูแลพวกเขาให้ทำไร่และเลี้ยงสัตว์อย่างมีความสุข จากปราสาทที่พำนักของพระองค์ คือ ปราสาทบิลสเคียร์เนียร์ (Bilskirnir) ซึ่งอยู่ใจกลางของธรูดวัง

พระนามของมหาเทพธอร์  ได้กลายมาเป็นชื่อวันพฤหัสบดี นั่นคือ Thursday ซึ่งมาจากคำว่า Thuresdaeg ดังนั้นจึงอาจกล่าวว่า มหาเทพธอร์เปรียบเสมือนพระพฤหัสบดีในคติของชาวยุโรปเหนือ เช่นที่จอมเทพโอดินเปรียบเสมือนพระพุธ และมหาเทวีเฟรยาเปรียบเสมือนพระศุกร์ดังกล่าวมาแล้ว

การที่มหาเทพธอร์ทรงเกี่ยวข้องกับดาวพฤหัสเช่นนี้ มีนัยยะที่น่าสนใจหลายประการครับ

          กล่าวคือในทางโหราศาสตร์ ทั้งไทยและสากล ถือกันว่าดาวพฤหัสนั้นเป็นประธานฝ่ายศุภเคราะห์ คือเป็นตัวแทนของฝ่ายธรรมะ เป็นดาวพระเคราะห์ใหญ่ที่อำนวยลาภผล ความสมบูรณ์พูนสุข และแก้ไขข้อขัดข้องให้หมดไป

พลานุภาพของดาวพฤหัสนี้ยิ่งใหญ่มาก จนแม้แต่บุคคลที่ดาวพระเคราะห์อื่นๆ ในดวงชะตาส่งอิทธิพลในทางเลวร้ายทั้งหมด ถ้าดาวพฤหัสในพื้นดวงของบุคคลนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ดี บุคคลนั้นก็ยังมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้

ข้อนี้นับว่าสอดคล้องกับคุณสมบัติของมหาเทพธอร์ เพราะพระองค์ทรงเป็นเทพผู้พิทักษ์สวรรค์และโลก อีกทั้งยังทรงเป็นเทพแห่งท้องฟ้า ผู้นำความอุดมสมบูรณ์มาให้ และยังเป็นเทพผู้คุ้มครองรักษาชาวไร่ชาวนาดังกล่าวแล้ว



         
ผู้เชี่ยวชาญทางมายาศาสตร์และเทววิทยาของไทยคือ พลูหลวง ยังได้วิเคราะห์ไว้ว่า อาวุธของเทพเจ้าที่สัมพันธ์กับดาวพฤหัสบดีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น พระอินทร์ ของศาสนาพราหมณ์ จอมเทพซีอุส (Zeus) ของศาสนากรีก และ มหาเทพธอร์ ล้วนสำแดงฤทธิ์เป็นฟ้าผ่า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ คือฝนตก

ฝนตกทำให้ความแห้งแล้ง คืออสูร หรือความทุกข์ยากของมวลมนุษย์หายไป ผู้ทำการเพาะปลูกได้ชื่นบานกัน ลักษณาการเช่นนี้ก็สอดคล้องกับดาวพฤหัสบดีในทางโหราศาสตร์เหมือนกันครับ

ถ้าจะเปรียบเทียบในทางโหราศาสตร์ ว่าดาวพฤหัสมักจะหมายถึงคนที่เป็นใหญ่ องค์มหาเทพธอร์ก็ทรงมีผู้นับถือบูชาในหลายยุคหลายสมัย จนบางครั้งก็ทรงเป็นเทพเจ้าสูงสุดแทนที่จอมเทพโอดินเลยทีเดียว

เพราะขณะที่จอมเทพโอดิน ทรงได้รับการนับถืออยู่เฉพาะในหมู่คนชั้นสูง และผู้ใช้เวทมนต์ซึ่งเป็นประชากรส่วนน้อย มหาเทพธอร์ก็ทรงได้รับการบูชาในหมู่ชาวไร่ชาวนา คนเลี้ยงสัตว์ และไพร่บ้านพลเมืองซึ่งเป็นประชากรส่วนมากไงครับ

ครั้นเมื่อคริสตจักร แผ่อิทธิพลเข้าสู่ภูมิภาคสแกนดิเนเวีย เทพสายฟ้าองค์นี้จึงถูกมองว่าเป็นเพียงวีรบุรุษในตำนานพื้นเมือง และไม่มีบทบาทใดๆ ที่เป็นปฏิปักษ์กับศาสนาคริสต์ เพราะไม่ทรงเกี่ยวข้องกับไสยเวท ที่นักบวชคริสต์สมัยนั้นหวาดกลัว อย่างจอมเทพโอดินและพระเทวีเฟรยา

และในดินแดนที่มิได้ร่ำรวยอย่างยุโรปเหนือ คริสตจักรก็หวังการโอบอุ้มจากราชสำนัก มากกว่าพลเมืองที่เป็นชาวนาชาวไร่อยู่แล้ว

ดังนั้น เมื่อมีการกวาดล้างลัทธิศาสนาอาซาทรู คติการบูชามหาเทพธอร์จึงเหลือรอดมาได้มากกว่าเทพเอเซียร์องค์อื่นๆ รวมทั้งพระเป็นเจ้าอีกสององค์ดังกล่าว

นั่นก็เพราะคนธรรมดาๆ ในชนบทสามารถนับถือมหาเทพธอร์ต่อไปได้ครับ เพียงแต่ต้องระวังในการประกอบพิธีกรรม คือไม่ให้เป็นที่เปิดเผยจนล่วงรู้ไปถึงคริสตจักรเท่านั้นเอง




ที่ใดที่ห่างเหินจากอิทธิพลของคริสตจักร หรือโบสถ์ประจำท้องถิ่นไม่เข้มงวดมากนัก ชาวไร่ชาวนาจึงยังสามารถประกอบพิธีบูชามหาเทพธอร์ในวันสิ้นฤดูหนาว เพื่อขอให้พระองค์ประทานฝนมาให้ในฤดูใบไม้ผลิ และสามารถทำพิธีบูชาพระองค์เป็นการขอบคุณ เมื่อเก็บเกี่ยวได้ผลดีตามต้องการ

ในขณะที่ผู้บูชาจอมเทพโอดิน และมหาเทวีเฟรยา ต่างต้องหนีตายกันอย่างหัวซุกหัวซุน และที่เหลือรอดก็ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ กว่าจะผ่านพ้นยุคกลางของทวีปยุโรป ก็แทบไม่สามารถรักษาและสืบทอดสิ่งใดได้อีก

แต่ศาสนาคริสต์ไม่เคยกวาดล้างลัทธิศาสนาอาซาทรูไปจากโลกได้สำเร็จ ตำนานเทพเจ้าเก่าแก่ยังคงฝังลึกในจิตวิญญาณของผู้คนในสแกนดิเนเวีย หนึ่งในนั้นก็คือ เทวปกรณ์อันมีสีสันของมหาเทพธอร์ ซึ่งยังคงเล่าขานสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้ละครับ



……………………………


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด