Tuesday, January 23, 2018

มังกร และ กริฟฟิน




มังกร (Dragon) เป็นสัตว์วิเศษที่มีตัวตนอยู่จริง ในอีกมิติหนึ่งของโลกนี้

คำว่า Dragon มาจากคำภาษาละตินว่า ดราโคเนม (Draconem) แปลว่า งูใหญ่ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมันมีลักษณะบางประการที่ดูคล้ายงู ไม่ใช่ว่าแต่เดิมมังกรจะมีลำตัวยาวเหมือนงู อย่างมังกรจีนนะครับ 

ลักษณะส่วนใหญ่ของมังกร ก็คือเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีขนาดใหญ่กว่าคน บางชนิดมีมากกว่า1 หัว ลำตัวปกคลุมด้วยเกล็ด  มีปีกเป็นพังผืดเหมือนค้างคาว 1 คู่

สายตาของมังกรนั้นคมกริบ และมันก็เป็นสัตว์ที่มีความเฉลียวฉลาดมากกว่าสัตว์ชนิดใดๆ จนนักแต่งนิยายมักระบุว่า มันพูดภาษามนุษย์ได้ด้วย 

ที่จริงแล้ว มังกรเพียงแต่สื่อสารทางจิตกับมนุษย์ ที่เข้าไปเผชิญหน้ากับมันโดยตรงเท่านั้นครับ ซึ่งก็เป็นวิธีเดียวกับที่สัตว์วิเศษของทุกชนชาติใช้

การสื่อสารทางจิต ทำให้มันหยั่งรู้ถึงระดับของศีลธรรมของคนที่มายืนตรงหน้ามัน  และมันจะขยะแขยงมากครับ เมื่อพบกับคนโลภและกักขฬะ ซึ่งเป็นคนส่วนมากที่ต้องตายเพราะมังกร 
         
อาวุธหลักของมังกรคือกรงเล็บ  ซึ่งฉีกกระชากเหยื่อได้เป็นชิ้นๆ ในพริบตา และมันสามารถต่อสู้บนพื้นดินได้ว่องไวพอๆ กับการโจมตีจากกลางอากาศ 

แต่ที่เปรียบเสมือนไม้ตาย และเป็นที่กล่าวขวัญมากที่สุดที่มันมีอยู่คือ การพ่นไฟ ครับ 




ผู้เชี่ยวชาญทางปกรณศาสตร์ตะวันตก กล่าวว่ามังกรมีต่อมสร้างไฟอยู่เหนือจมูก ดังนั้นโดยความเป็นจริงแล้วมันจึงพ่นไฟจากรูจมูก หรือหายใจเป็นเปลวไฟ  ไม่ใช่อ้าปากแล้วพ่นไฟออกมา อย่างในหนัง      

และที่จริงแล้ว  มังกรไม่สามารถพ่นไฟได้มากนัก  โดยเฉพาะการพ่นอย่างเต็มที่จะทำได้เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นมันจะต้องพักผ่อน หรือหาอาหารเพื่อให้มีพลังงานเพียงพอ สำหรับที่จะใช้พ่นไฟในครั้งต่อไป

มังกรจึงไม่พ่นไฟใส่ใครถ้าไม่จำเป็นจริงๆ  หรืออาจพ่นเพียงเล็กน้อย เพื่อเป็นการเตือนเท่านั้นแหละครับ 

ชื่อเสียงของมังกรที่คุ้นเคยกันทั่วไปก็คือ การเป็นผู้อารักขาขุมทรัพย์โบราณ หรือของสำคัญต่างๆ อันเนื่องจากคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมของมันนั่นเอง 

เราจึงได้พบอยู่บ่อยครั้งว่า พระเอกในเทพนิยายยุโรป ถ้าจะได้ครอบครองสิ่งสำคัญหรือทรัพย์สมบัติใดๆ ก็ต้องผ่านมังกรที่เฝ้าอยู่ทุกครั้ง     

อย่างไรก็ตาม  แม้ว่ามังกรจะมีพลังอำนาจ และการพ่นไฟอันน่าเกรงขาม สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับมัน แต่พวกมันส่วนใหญ่เป็นสัตว์รักสงบ มันจะวนเวียนอยู่ภายในอาณาเขตของมันเป็นส่วนใหญ่ และนานๆ จะกินอาหารสักที 

อาหารที่มันชอบมากคือวัว แกะ ส่วนมนุษย์นั้นจะได้เป็นอาหารของมัน ก็เฉพาะผู้ที่เข้าไปรบกวนทรัพย์สมบัติของมันเท่านั้น         

ด้วยเหตุดังกล่าว จึงเป็นการยากที่จะมีใครได้รับอันตรายจากมังกร นอกจากคนที่เข้าไปรบกวนมันถึงแหล่งที่พำนักของมัน




เคยมีการบันทึกถึงบ้านเรือน และพืชผลจำนวนมากของชาวนาที่ถูกมังกรพ่นไฟเผาราบเป็นหน้ากลอง ด้วยเหตุที่ว่ามีคนจากในหมู่บ้านไปขโมยสมบัติของมัน  กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นน้อยมากครับ     

ชาวยุโรปโบราณยังเชื่อกันว่า ถ้าหากได้กินอวัยวะต่างๆ ของมังกรแล้ว จะทำให้มีอิทธิฤทธิ์เหนือคนธรรมดาทั่วไปอยู่หลายอย่าง

เช่นหัวใจของมัน เมื่อกินแล้วทำให้ฟังภาษานกรู้เรื่อง ลิ้นทำให้มีความสามารถในการเจรจา เลือดป้องกันการบาดเจ็บได้  เนื้อเอาไปต้มแล้วนำน้ำที่ต้มนั้นมาอาบ ช่วยให้อยู่ยงคงกระพัน 
         
สิ่งเหล่านี้ ยังสามารถนำมาใช้ทำเป็นมวลสาร สร้างของวิเศษต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 

ดังนั้นขณะที่คนส่วนมากกลัวมังกร  ก็จะมีคนอีกจำพวกหนึ่ง ที่พยายามติดตามหามังกรเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว       

แต่สิ่งที่ว่ากันว่า เป็นตัวการทำลายล้างมังกรจนแทบจะสูญพันธุ์ไปอย่างแท้จริง คือ  ศาสนาคริสต์          

เล่ากันว่า บรรดามิชชันนารีซึ่งจาริกไปทั่วยุโรป พวกนี้เมื่อได้พบกับมังกรที่ครองครองพื้นที่อยู่เดิม ก็กลัวจนเสียสติ และลงความเห็นทันทีว่า มันคือทูตแห่งมารร้าย 

พวกเขาสนับสนุนบรรดาอัศวิน และนักแสวงโชคให้สังหารมังกร ยุยงชาวนาว่าสัตว์ใดก็ตามที่มีขนาดใหญ่ มีกรงเล็บและเขี้ยวแหลมคม รวมทั้งพ่นไฟได้ เป็นเครื่องหมายแห่งบาป การทำลายสิ่งนี้จะเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า




ดังนั้นจึงเกิดประเพณีในการล่ามังกรขึ้น โดยอัศวินคริสเตียนที่แน่ใจว่าตนมีฝีมือพอ ซึ่งใครๆ ก็กระเหี้ยนกระหือรือที่จะเข้าร่วมมหกรรมนี้ 

เพราะนอกจากจะได้ทั้งทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง และการพิสูจน์ถึงศรัทธาในทางศาสนาแล้ว ยังได้ประโยชน์จากซากศพของมันด้วยไงครับ 

มังกรจึงถูกจารึกไว้ในเทพนิยายต่างๆ ในภาพลักษณ์ของฝ่ายอธรรม ที่ถูกอัศวินพิชิตลงตัวแล้วตัวเล่า 

ถึงกระนั้น การจะฆ่ามังกรตัวหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  ในจำนวนผู้กล้า 100 คนที่เข้าไปหามังกรถึงถิ่น มีเพียงคนเดียวเท่านั้นละครับที่ทำได้สำเร็จ

และการฆ่ามังกรนั้น ก็มิได้ใช้เพียงแต่ดาบ หรืออาวุธธรรมดาสามัญ อาวุธที่จะฆ่ามังกรได้ จำต้องมีการลงอักขระ และผ่านพิธีกรรมปลุกเสกโดยคนที่รู้จริง มิฉะนั้นจะฟันผิวมังกรไม่เข้า  

ปัจจุบัน  ผู้คนที่เชื่อในเรื่องของมังกร ส่วนมากลงความเห็นกันว่า ไม่มีมังกรเหลืออยู่ในทวีปยุโรปแล้ว แต่ก็ปรากฏว่า มีผู้ค้นพบหรือได้เห็นตัวมันเป็นครั้งคราว แสดงว่ายังมีมังกรจำนวนหนึ่งที่ยังเหลือรอดอยู่ 

และพวกมันก็คงจะยังเฝ้าพิทักษ์ของวิเศษ  หรือขุมความรู้โบราณอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่มีใครได้พานพบ
         



ทีนี้ ผมก็จะพูดถึงสัตว์วิเศษอีกชนิดหนึ่ง ที่สามารถนำมาทำเป็นเครื่องราง ใช้ได้เหมือนมังกร คือ กริฟฟิน (Griffin)

คนยุโรปส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า กริฟฟินเป็นสัตว์ในเทพนิยายของชาวกรีก เพราะคำว่า กริฟฟิน มาจากภาษากรีก แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำดังกล่าวมีที่มาจากภาษาพวกฮิตไตต์ (Hittite) อีกทีหนึ่ง 

ในบันทึกของชาวกรีกเอง ก็ยืนยันว่ามันเป็นสัตว์ในท้องถิ่นอื่น ดังปรากฏในบันทึกการเดินทางไปยังทวีปเอเชียสมัยก่อนศตวรรษที่ 8 ของ อีริสติอัส (Eristias) นักเดินทางชาวกรีก กล่าวว่า มีชนเผ่าหนึ่งเล่าให้เขาฟังว่ามีเทือกเขาที่อุดมไปด้วยทองคำ ถูกเฝ้าโดยสัตว์น่ากลัวและประหลาดตัวหนึ่ง  ซึ่งอีริสติอัสเรียกมันว่ากริฟฟิน

มีผู้บรรยายไว้ว่า กริฟฟินเป็นสัตว์ที่มีส่วนผสมระหว่างนกอินทรีกับสิงโต คือมีหัว, ร่างกายส่วนหน้าอกทั้งหมด, ขาหน้า และปีกเป็นนกอินทรี ส่วนสะโพก  ขาหลัง และหางเป็นสิงโต กรงเล็บของกริฟฟิน มีขนาดเท่ากับเขาวัวหรือเท้านกอินทรีทั้งเท้า




กริฟฟินเป็นสัตว์ที่มีพละกำลังมากครับ สามารถต่อสู้มังกรได้ หัวและปีกของมันแข็งแรงกว่านกอินทรีหนึ่งร้อยเท่า เมื่อมันขวิดแต่ละครั้ง มนุษย์ ม้า และวัวตัวใหญ่ๆ จะปลิวหายไปในอากาศ

เทพนิยายกรีกกล่าวว่า กริฟฟินเป็นสัตว์วิเศษที่คอยลากราชรถให้กับเทพ-เทวีของกรีก เช่น สุริยเทพอพอลโล (Apollo) และเป็นผู้พิทักษ์เหมืองทองคำของดินแดน ไฮเปอร์โบเรีย (Hyperboria) 

ภาระหน้าที่หลักของมัน ตามความรับรู้ของชาวตะวันตกทั่วๆ ไปจึงเหมือนมังกรนั่นแหละครับ คือมีหน้าที่เฝ้าขุมทรัพย์ โดยเฉพาะทองคำ 

แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับมังกรแล้ว กริฟฟินก็มีอุปนิสัยที่แตกต่างออกไป 

มันไม่ฆ่าทุกคนที่เข้าไปถึงถิ่นของมันโดยทันที มันจะรอดูว่า ผู้บุกรุกคนนั้นจะเป็นภัยกับตัวมันเอง หรือทองคำที่มันเฝ้ารักษาอยู่หรือเปล่าเสียก่อนก่อน จึงค่อยลงมือจัดการ 

การที่กริฟฟินมีทั้งพละกำลัง ความดุร้าย ความแคล่วคล่องในการโจมตีทางอากาศ และสติปัญญา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายครับ ที่ใครจะเข้าไปถึงสิ่งที่มันพิทักษ์อยู่     

และไม่เพียงเป็นฝู้เฝ้าที่ดีเท่านั้น กริฟฟินยังมีความสามารถในการหาแหล่งทองคำห รือสมบัติที่ฝังในดินได้ตามต้องการ เหตุผลหนึ่งก็คือ เพื่อเอาไปทำรังสำหรับวางไข่

กริฟฟินออกลูกเป็นไข่ และเลี้ยงลูกเหมือนนกครับ

เซนต์ ฮิลเดการ์ด (St.Hildegard) นักบุญหญิงชาวเยอรมันในสมัยคริสตศตวรรษที่ 12 ได้บันทึกไว้ว่า เมื่อกริฟฟินตัวเมียตั้งท้อง มันจะไปหาที่วางไข่ในถ้ำที่มีทางเข้าแคบๆ แต่พื้นที่ภายในกว้างขวาง ไข่ของมันมีขนาดเท่านกกระจอกเทศ ซึ่งบางตำราก็ว่าสีเหมือนอัญมณี  และมันจะเฝ้าเลี้ยงลูกจนโตแข็งแรง

ชาวตะวันตกจึงถือว่า กริฟฟินเป็นผู้ครอบครองความรู้ในการหาแหล่งทรัพยากร และความร่ำรวยในขณะเดียวกัน
 



กริฟฟินยังมีคุณสมบัติของนกอีกอย่างหนึ่งด้วยครับ คือไม่มีการเปลี่ยนคู่ตลอดชีวิต แม้ฝ่ายหนึ่งจะตายไปก่อนก็จะไม่หาคู่ใหม่ มันจึงเป็นสัญลักษณ์ (และพลัง) ของความซื่อสัตย์ด้วย

คุณสมบัติของกริฟฟินอีกอย่างหนึ่ง คือความสามารถในการรักษาโรค

ว่ากันว่าในสมัยโบราณ ผู้วิเศษจะนำขนของกริฟฟิน มากวาดผ่านดวงตาของคนที่ตาบอดสนิท แล้วตาของคนผู้นั้น ก็จะกลับมองเห็นได้อย่างน่าอัศจรรย์ 

ทั้งนี้ ขนของกริฟฟินที่นำมาใช้นั้น มีพลังพิเศษในตัวของมันเอง สามารถใช้เมื่อไรก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องปลุกเสกหรือผ่านพิธีกรรมใดๆ เลย         

อีกกรณีหนึ่งเชื่อกันว่า อุ้งเท้าของมันมื่อนำมาทำเป็นถ้วยน้ำแล้ว หากใครใส่ยาพิษลงไป น้ำในถ้วยจะเปลี่ยนสีในพริบตา

บางตำราก็กล่าวว่า กรงเล็บของกริฟฟิน เป็นเครื่องรางต่อต้านความชั่วร้าย และโชคร้าย รวมสามารถตรวจพบพิษได้ กล่าวคือถ้ากรงเล็บของมันได้สัมผัสกับพิษจะมีสีคล้ำลง 

เล่ากันต่อไปอีกว่า กริฟฟินจะมอบสมบัติอันมีค่ายิ่งเช่นนี้ ให้แก่ผู้ทรงศีล หรือผู้ที่ช่วยเหลือมันในยามบาดเจ็บครับ             




พวกมิชชันนารีที่เดินทางออกจากอาณาจักรโรมัน เพื่อเผยแพร่ศาสนาไปทั่วทวีปยุโรป ในช่วงแรกๆ ก็กลัวกริฟฟินมากพอๆ กับกมังกร และทุกสิ่งที่คนพื้นเมืองยุโรปเคยนับถือมาก่อน 

พวกเขากล่าวว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของคนนอกศาสนา และคอยล่อลวงวิญญาณของมนุษย์ อีกทั้งยังคอยข่มเหงรังแกสาวกพระเยซูด้วย ทางคริสตจักรจึงเหมารวมสัตว์ชนิดนี้ให้ไปอยู่ในอาณาจักรของซาตานอยู่ระยะหนึ่ง

แต่ต่อมา กริฟฟินในความรู้สึกของคริสตชน ก็กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแห่งพิภพและนภากาศ อีกทั้งมีรังสีแห่งแสงอาทิตย์ 

มันจึงกลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของพระเยซู  อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ขององค์พระสันตะปาปา

ชาวคริสต์ในยุโรปจึงนำกริฟฟินมาใช้ ในฐานะที่เป็นเครื่องต่อต้านอสุรสัตว์ในตำนาน คือ พญานกบาซิลิสก์ (Basilsque) ซึ่งเปรียบได้กับรูปจำลองของซาตาน

ดังนั้น โบสถ์คริสต์สมัยแรกๆ จึงมีการตกแต่งด้วยรูปของสัตว์ชนิดนี้ เพื่อให้มันคุ้มครองโบสถ์ คติเช่นนี้ได้แพร่หลายไปทั่วหมู่เกาะอังกฤษ แคว้นเวลส์และไอร์แลนด์

จนกระทั่งคริสตศตวรรษที่ 12 นักบุญแบร์นาร์ด์แห่งแคลร์โวซ์ (St.Bernard de Clairevaux) ได้ทำการปฏิรูปศาสนาคริสต์ ตลอดจนเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมในการตกแต่งวัดวาอารามต่างๆ เสียใหม่ กริฟฟินจึงค่อยๆ หายไปจากโบสถ์คริสต์ในเวลาต่อมา




แต่ชาวยุโรปก็ยังคงนำภาพกริฟฟิน มาทำเป็นงานศิลปะในหลาย ๆ วัฒนธรรม หลายสถานที่ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน และตราประจำตระกูลเก่าแก่ต่างๆ อีกทั้งยังมีความนิยมนำมาปักลงบนผ้าสวยอย่างสวยงาม สำหรับประดับอาคารด้วย 

จุดมุ่งหมายก็คือ เพื่ออาศัยอานุภาพของกริฟฟิน ในการปกปักรักษาให้พ้นจากภยันตรายต่างๆ นั่นละครับ

ในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ประติมากรรมที่ทำเป็นรูปมังกร และกริฟฟิน ก็ดูจะได้รับความนิยมตามอุปสงค์-อุปทานของผู้ผลิต และตลาดนักสะสมประติมากรรมเรซินจากเทพนิยาย

อย่างเมื่อตอนที่ผมเขียนหนังสือเรื่อง สัตว์มงคล เครื่องราง ของขลัง ตีพิมพ์ในช่วง พ.ศ.2547-48 ผมจำได้ว่า เห็นเจ้าสองตัวนี้ที่ทำเป็นเครื่องรางขนาดตั้งโต๊ะ ในอินเตอร์เน็ต แค่ไม่กี่แบบเท่านั้นนะครับ และไม่น่าสนใจเลยจริงๆ

แต่ ณ เวลานี้ ผมกลับไป search ใหม่ ผลก็คือ มีทั้งมังกรและกริฟฟินแบบใหม่ๆ ปรากฏให้เห็นมากมายครับ




แต่ประติมากรรมมังกรและกริฟฟิน เท่าที่มีขายกันอยู่ขณะนี้ มีทั้งแบบที่เป็นของเล่นเด็ก และแบบที่ใช้แต่งบ้าน แบบหลังนี้ก็มีทั้งชนิดที่ทำให้ดูตลกขบขัน และทำให้ดูสวยงาม

ซึ่งผมขอย้ำว่า ประติมากรรมรูปสัตว์วิเศษทั้งสองชนิดนี้ ที่ทำอย่างมีศิลปะ มีความสวยงาม และน่าเกรงขามอย่างแท้จริง เท่านั้นแหละครับ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อผลทางมายาศาสตร์ได้

ส่วนแบบที่ดูตลกหรือน่ารักนั้น เป็นได้แต่ของเล่นเท่านั้น

ทั้งนี้ ถ้าทำด้วยวัสดุธรรมชาติ โดยเฉพาะทองคำ เงิน หรือสำริด ดีที่สุด

หรือไม่ ถ้าเป็นเนื้อเรซินสมผงหินอ่อน ชุบสีแบบ cold cast bronze หรือทำสีเลียนแบบทองคำ เงิน สำริด ก็ยังคงนับว่าดีอยู่

ถ้าเป็นเรซินทั่วไป ระบายสี อย่าเอาสีจัดจ้านมากครับ ต้องให้ดูคลาสสิกหน่อย จะมีพลังมากกว่า

และถ้าจะใช้ประติมากรรมรูปมังกร และกริฟฟิน ในทางเวทมนต์อย่างแท้จริงนั้น จะต้องมีพิธีกรรมการปลุกเสกครับ

ซึ่งมีตำราระบุรายละเอียดขั้นตอนการประกอบพิธี แม้แต่ลำดับมนต์ที่จะต้องใช้ อยู่ในหมู่นักมายาศาสตร์ตะวันตก

โดยตัวชี้วัดว่า สำนักไหนสืบทอดสายวิชาโบราณมาอย่างแท้จริงเพียงใด ดูง่ายๆ เลยครับ ว่ามนต์ที่ใช้นั้น เป็นภาษาอังกฤษโบราณ ภาษาเยอรมันโบราณ หรือภาษาอังกฤษสมัยใหม่

ตำราพวกนี้ บางเล่มก็สั่งซื้อได้ทางอินเตอร์เน็ตนะครับ

แต่ถ้าจะให้ปลอดภัย ผมว่าควรจะร่ำเรียนสืบทอดจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงดีกว่า




เปิดตำราทำเองไม่ดีหรอกครับ เพราะถ้าผิดพลาดแล้วจะไม่รู้วิธีแก้ แล้วความเสียหายหลายอย่างจะตามมา

เสียหายในเรื่องใดบ้าง ก็ดูง่ายๆ จากการที่มังกรและกริฟฟิน ซึ่งได้รับการปลุกเสกอย่างถูกต้องแล้ว สามารถนำมาใช้ได้ผลอย่างไร ความเสียหายก็จะเป็นตรงกันข้ามกับสิ่งเหล่านั้น

1) ผลในการเฝ้าทรัพย์สมบัติหรือสิ่งของสำคัญ ซึ่งวิธีจัดวาง คือบนหลังตู้หรือโต๊ะที่เก็บของสำคัญนั้น หันหน้าไปทางประตูห้อง

ถ้าเสกผิดวิธี จะทำให้เกิดความวิบัติหายนะแก่ของสำคัญเหล่านั้น หรือ ขโมยเข้าบ้าน

2) ผลในการสลายพลังชั่วร้ายที่มาจากนอกบ้าน เช่น ทางสามแพร่ง ตึกสูง รางรถไฟฟ้า สะพาน หรือทางยกระดับที่เป็นวงโค้งตรงกับบ้านของเรา วัดร้างที่อยู่อีกฟากถนน บ้านผีสิงหรือบ้านที่เจ้าของตายด้วยเหตุน่าสยดสยอง แหล่งอบายมุข โรงงานและสุสาน

วิธีจัดวาง คือให้ตั้งหันหน้าไปทางหน้าต่าง หรือประตูด้านที่ปะทะกับพลังชั่วร้ายเหล่านี้

ถ้าเสกผิดวิธี จะกลายเป็นการดึงดูพลังชั่วร้ายเหล่านี้เข้ามาแทน

3) ผลในการคุ้มกันจากคุณไสยมนต์ดำต่างๆ วิธีจัดวางคือบนโต๊ะข้างหัวเตียง หันหน้าไปทางประตูห้องนอน

ถ้าเสกผิดวิธี จะไม่สามารถป้องกันในส่วนนี้ได้ครับ คุณไสยมนต์ดำต่างๆ จะเข้าถึงห้องนอนอย่างง่ายดาย

4) ผล (เฉพาะกริฟฟิน) ในด้านความรัก ความซื่อสัตย์ ความมั่นคงของชีวิตคู่ วิธีจัดวางคือบนโต๊ะข้างหัวเตียงของสามีภรรยา หรือคู่รักหันหน้าขนานไปกับข้างเตียง

          ถ้าเสกผิดวิธี ขะทำให้เกิดการทะเลาะเบาะว้าง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนอกใจ หรือมีชู้




การเลี้ยงมังกร และกริฟฟิน ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงดูด้วยอาหารหรือน้ำ เพียงแต่ควรทำความสะอาดด้วย น้ำกุหลาบแท้ (Rose Hydrosol) ไม่ใช่น้ำหอมกลิ่นกุหลาบ สัปดาห์ละครั้ง

และ ชาร์จพลัง ในคืน วสันต์วิษุวัต (Vernal Equinox) และ ศารทวิษุวัต (Autumnal Equinox) ของทุกปี ด้วยการนำมังกรเข้า พิธีอาบไฟ

          คือตั้งรูปมังกรนั้นในวงกลม ที่จุดเทียนชา (Tealight Candle) 12 เล่มไว้โดยรอบ และสาธยายมนต์ที่ใช้กับมังกรนั้น 12 ครั้ง

          ส่วนกริฟฟิน เข้าพิธี Purification ด้วยการตั้งเชิงกำยาน 8 ทิศเป็นวงกลมโดยรอบ ต้องเป็นกำยานที่ทำจากสมุนไพรธรรมชาติ ไม่ช่ำยานโรงงานทั่วไป หรือกำยานขี้วัวของแขกนะครับ

แล้วสาธยายมนต์ที่ใช้กับกริฟฟินนั้น จนกว่ากำยานจะหมด

ซึ่งถ้าไม่ใช่มังกรและกริฟฟินที่ผ่านการปลุกเสก ก็ไม่ต้องชาร์จพลังใดๆ เพราะไม่มีมนต์ให้ใช้เพื่อการนั้นครับ




ผมมีวิชาที่จะเสกได้ ทั้งมังกร และกริฟฟิน ได้ฝึกหัดมาตั้งแต่ตอนเรียนไสยเวทยุโรปใหม่ๆ ที่ผ่านมาก็เสกให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดไปหลายตัว จนตอนนี้แก่แล้ว ความทรงจำเริ่มใกล้ระดับเลอะเลือน

เพราะฉะนั้น ใครที่ชอบสัตว์วิเศษทั้งสองชนิดนี้ และต้องการแบบที่ตั้งโชว์ได้ มีพลังวิเศษด้วย ควรจะรีบไปจัดหามา แล้วผมจะทำพิธีให้ ตามที่ยังมีกำลังพอจะทำได้อยู่

ถ้าจะสอบถามที่ Line ID ที่เป็นตัวแทนในการจัดการวัตถุมงคลของผม ก็ถามได้แต่ค่าปลุกเสกนะครับ ไม่มีตัวอย่างวัตถุมงคล เพราะไม่มีการรับของพวกนี้มาเสกไว้รอขาย

ถ้าอยากได้ ต้องสั่งจากเว็บต่างๆ เอาเองครับ



……………………………


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด