ลัทธิศาสนาอาซาทรู
มองเห็นสัจธรรมที่คล้ายคลึงกับศาสนาพุทธครับ
นั่นคือ
ไม่มีสิ่งใดคงอยู่เป็นนิรันดร์ แม้แต่โลกทั้งหลายที่จอมเทพโอดินทรงสร้างขึ้น
ในที่สุดก็จะต้องถึงกาลดับสูญ
โดยที่พระองค์เองก็ไม่ทรงมีพลังอำนาจเพียงพอที่จะหยุดยั้งได้
วันสิ้นโลก
หรือ รักนาร็อค (Ragnarok) ในเทพนิยายอาซาทรู มีปฐมเหตุจากการที่จอมเทพโอดินทรงรับยักษ์ โลคี
(Loki)
เข้าเป็นสมาชิกในอัสการ์ด
ด้วยทรงพอพระทัยในไหวพริบปฏิภาณตามแบบยักษ์ซึ่งเขามีอยู่
โลคีนั้นมีชั้นเชิงเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว สิ่งที่เขาไม่มีก็คือความรู้จักผิดชอบ
และความกล้าหาญเท่านั้น ทำให้เขาได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยามอยู่เสมอ
โลคีนำเรื่องราวยุ่งยากมากมายมาสู่อัสการ์ด
ทั้งเรื่องที่มีบทสรุปดีและไม่ดี
แต่เหตุการณ์ที่จะนำไปสู่วันมหาวิบัติโลกอย่างแท้จริงเกิดขึ้นเมื่อเขาลักลอบสมสู่กับนางยักษ์
อังเกอร์โบดา (Angrboda) และมีลูกด้วยกัน 3 ตน
ล้วนแต่เป็นจอมอสูรที่ไม่มีผู้ใดเอาชนะได้ ทั้ง พญางูโยร์มุนกันด์ (Jormungand)
อสุรีครึ่งมนุษย์ครึ่งศพ เฮล (Hel) และ
พญาสุนัขป่าเฟนเรียร์ (Fenrir)
จอมเทพโอดินทรงลงโทษ ด้วยการขว้างพญางูโยร์มุนกันด์ลงไปในมหาสมุทรแห่งมิดการ์ด
ส่งเฮลไปครองแดนนรก ส่วนเฟนเรียร์นั้นทรงเลี้ยงไว้เพราะทรงชอบสุนัขป่า
แต่ภายหลังมันก็เติบโตขึ้นเป็นสุนัขป่ายักษ์
มีความดุร้ายและกำลังอันมหาศาลจนไม่มีสิ่งใดควบคุมมันได้
เหล่าเทพต้องให้คนแคระทำโซ่วิเศษขึ้นมาจับมันไปพันธนาการไว้ในที่ห่างไกลจากโลกทั้งหมด
โดยเทพแห่งสงคราม เทียร์ (Tyr) ต้องทรงสละพระหัตถ์ข้างหนึ่งของพระองค์เพื่อการนี้
สิ่งนี้ทำให้ความอดทนของโลคีจบสิ้นลง
เขาคิดแก้แค้นโดยพุ่งเป้าไปที่ เทพบัลเดอร์ (Baldur) พระโอรสของจอมเทพโอดิน
ผู้ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามทั้งปวง แม้ว่าพระองค์จะไม่เคยทรงให้ร้ายใดๆ
กับเขาเลยก็ตาม
เทพบัลเดอร์ทรงได้รับคำสัญญาจากทุกสิ่งในโลกว่าจะไม่ทำร้ายพระองค์
เหล่าเทพแห่งอัสการ์ดจึงสนุกกับการใช้พระองค์เป็นเป้าซ้อมอาวุธ
เพราะเหตุว่าไม่มีอาวุธใดสามารถทำอันตรายพระองค์ได้
แต่โลคีล่วงรู้ว่า ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่มิได้สัญญาเช่นนั้น
นั่นก็คือต้น มิสเทิลโท (Mistletoe : ไม้จำพวกกาฝากชนิดหนึ่ง)
เขาจึงนำกิ่งของมันมาเสี้ยมให้แหลมทำเป็นปลายหอก และนำไปให้ เทพโฮเดอร์ (Hodur)
ลองพุ่งเข้าใส่องค์เทพบัลเดอร์ องค์เทพแห่งความดีงามเมื่อต้องปลายหอกนั้นก็สิ้นพระชนม์
ความโศกเศร้าสุดที่จะพรรณนาครอบคลุมไปทั่วอัสการ์ด
แต่ก็ยังมีความหวังเล็กน้อย นางพญานรกสัญญาว่าจะคืนชีวิตแก่องค์เทพบัลเดอร์ ถ้าหากทุกสิ่งในโลกร้องไห้เพื่อพระองค์
และทุกสิ่งก็ทำเช่นนั้นจริงๆ เว้นแต่โลคีซึ่งแปลงตัวเป็นหญิงชราคนหนึ่ง
และปฏิเสธที่จะร้องไห้
ในที่สุด
อัสการ์ดต้องสูญเสียทั้งเทพแห่งความดีงาม และ เทวีนันนา (Nanna)
ชายาของพระองค์ ซึ่งตรอมพระทัยจนสิ้นพระชนม์ไปด้วยกัน
ความผิดของโลคีครั้งนี้ ไม่อาจได้รับการอภัย
เขาถูกจับไปพันธนาการในสถานที่อันเร้นลับในมิดการ์ด
โดยผูกตรึงไว้กับแผ่นหิน ด้วยลำไส้ของลูกชายคนหนึ่งของเขาเอง
มีงูตัวหนึ่งถูกสาปตรึงไว้เหนือศีรษะ เพื่อคอยพ่นพิษใส่เขาตลอดไป
มรณกรรมของเทพบัลเดอร์ เป็นสัญญาณเริ่มต้นของรักนาร็อค เพราะพระองค์ทรงเป็นเทพแห่งแสงสว่าง ความดีงามและความจริง
เมื่อไม่มีพระองค์ก็ไม่มีอะไรคานอำนาจความชั่วร้ายในมิดการ์ดได้
ผู้คนเริ่มฆ่ากันอย่างไร้เหตุผลและไร้เกียรติ
สังคมมนุษย์เริ่มสับสนไปหมด พี่น้องสมสู่กันเอง แม้กระทั่งคนในครอบครัวเดียวกัน
หรือเพื่อนที่สาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อกันก็ยังทรยศและฆ่าฟันกัน
แผ่นดินโลกเนืองนองไปด้วยเลือดอันเกิดจากมูลเหตุที่ไร้ค่าที่สุด
ทุกหนทุกแห่งเกลื่อนกลาดด้วยซากศพและความน่าสยดสยอง ชวนสังเวชใจยิ่งนัก
หลังจากนั้น โลกมนุษย์ก็ตกอยู่ในฤดูหนาวอันทารุณต่อเนื่องกันถึงสามปี
ไม่มีแสงอาทิตย์ ทุกหนทุกแห่งปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง
สิ่งมีชีวิตบนโลกล้วนอดอยาก ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง แม้แต่ผู้คนก็เปลี่ยนไปคล้ายสัตว์
มีแต่ความโหดร้ายป่าเถื่อน เมื่อสิ้นฤดูหนาว ความรักและความเมตตาก็หายไปจากมิดการ์ดตลอดกาล
ในที่สุด
วันโลกาวินาศก็มาถึง
สุนัขป่า 2 ตัวซึ่งนางยักษ์อังเกอร์โบดานำมาเลี้ยงไว้ และดำรงชีวิตจากการกินซากศพมนุษย์ที่ล้มตายลงทุกวัน
บัดนี้เติบใหญ่ขึ้น มันทั้งสองอ้าปากมโหฬาร กินราชรถสุริยันและราชรถจันทรา ทั้งโลกตกอยู่ในความมืดมิดอย่างแท้จริง
ไม่มีแม้แต่แสงดาวอีกต่อไป
และด้วยความมืดนั้นเอง
พลังเวทมนต์ที่พันธนาการเหล่าอสูรทั้งหมดก็สลายสิ้น
เฟนเรียร์หลุดออกจากโซ่วิเศษอย่างง่ายดาย
โลคีหลุดออกจากคำสาปที่ตรึงเขามานานชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ พญามังกรนี๊ดฮูกก์ (Nydhogg)
ที่คอยกินศพมนุษย์อยู่ใต้ดินกัดรากแก้วของอี๊กก์ดราซีล
จนพฤกษาโลกสั่นสะเทือนถึงยอด
ไก่ที่เกาะอยู่บนยอดไม้ส่งเสียงขันเตือนภัยเหล่าเทพและมนุษย์ถึงจุดจบ
ขานรับด้วยเสียงไก่สีแดงแห่งนรกภูมิที่ขันเรียกนายหญิงของมัน และเสียงไก่
กูลลินคัมบี (Gullinkambi) ที่เกาะอยู่เหนือหอวัลฮัลลา
ซึ่งเสียงของมันดังไปทั่วแดนสวรรค์
เสียงแตร กีออลล์ (Giall) ของ เทพไฮม์ดัลล์ (Heimdall) ผู้พิทักษ์สวรรค์ดังกึกก้อง
คณะเทพเอเซียร์และเหล่านักรบมาประชุมกันที่วัลฮัลลาเพื่อเตรียมการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
ในไม่ช้าเหล่าดวงวิญญาณแห่งวีรชนก็เคลื่อนผ่านประตูทั้ง 540 บานของวัลฮัลลาบานละ 800 ตน ยกทัพข้ามสะพานบีฟรอสต์สู่ทุ่ง วีกริด (Vigrid)
พญางูโยร์มุนกันด์สำเหนียกถึงความเป็นไปทั้งหมด
มันบิดตัวอย่างแรงจนเกิดมหาอุทกภัยถล่มชายฝั่งทะเลและเกาะทุกแห่งในโลก
คลื่นยักษ์สูงเท่าภูเขาสาดซัดเอา เรือนากิลฟาร์ (Nagilfar) ที่แสนจะน่ากลัวขึ้นมาลอยละล่องเหนือผิวน้ำ
มันเป็นเรือที่เกิดจากเล็บของคนตายซึ่งญาติๆ ลืมตัดให้ก่อนทำพิธีศพ
เมื่อเรือนากิลฟาร์เกยหาด
โลคีก้าวลงไปและบังคับมันไปสู่ทุ่งวีกริด
โยร์มุนกันด์และเฟนเรียร์บุตรของเขามาสมทบระหว่างทาง
พญางูยักษ์พ่นพิษทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า และพญาสุนัขป่าก็กลืนกินทุกชีวิตที่พานพบ
เมื่อมาถึงทุ่งวีกริด
โลคีได้พบกับเรืออีกลำที่แล่นมาจากโยทูนไฮม์ เรือลำนั้นบรรทุกเหล่ายักษ์ทั้งหมดมาจนเพียบแปล้ เมื่อเรือทั้งสองบรรจบกัน
พญางูยักษ์ก็เคลื่อนตัวโอบกองกำลังแห่งวัลฮัลลาทั้งหมดพร้อมทั้งพ่นพิษอย่างไม่หยุดยั้ง
ขณะเดียวกัน เฮล นางพญานรกก็ผุดขึ้นจากรอยแยกบนแผ่นดิน พร้อมด้วย การ์ม (Garm)
สุนัขแห่งนรก และดวงวิญญาณชั่วร้ายทุกดวงจากนิฟเฟลไฮม์
ในไม่ช้า
พญามังกรนี๊ดฮูกก์ซึ่งยังมีเศษรากแก้วของพฤกษาโลกคาปาก ก็โผบินสู่โลกเบื้องบนเป็นครั้งแรก
ซากศพมนุษย์ที่มันเก็บไว้ใต้ปีกสำหรับเคี้ยวเล่นหล่นเป็นสายๆ
ลงสู่พื้นโลกอย่างน่าสะอิดสะเอียนที่สุด
กองกำลังของทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันอย่างนองเลือด
คณะเทพเอเซียร์ ดวงวิญญาณของเหล่าวีรชน
เหล่ายักษ์ และดวงวิญญาณบาปจากนรกที่เฮลพามา ต่างล้มตายเป็นใบไม้ร่วง
จอมเทพโอดินเองก็ทรงต่อสู้กับพญาสุนัขป่าเฟนเรียร์อยู่นาน
จนในที่สุดพระองค์ก็ทรงอ่อนแรงลง และถูกมันสังหารด้วยขากรรไกรอันกว้างใหญ่ของมัน
มหาเทพธอร์เผชิญหน้ากับพญางูโยร์มุนกันด์
พระองค์ทรงใช้ฆ้อนวิเศษประหารงูยักษ์ได้
แต่ด้วยพิษของมันที่พ่นออกมาราวกับห่าฝนอยู่ตลอดเวลา พระองค์ทรงพระดำเนินต่อไปได้อีกเพียง 9 ก้าวก็ล้มลงสิ้นพระชนม์
ทวยเทพ วีรชน
ยักษ์และอสูรทั้งหลายต่างก็ต่อสู้จนล้มตายไปด้วยกัน
ท้องทุ่งวีกริดเต็มไปด้วยซากศพอันน่าสยดสยอง
จากนั้นพญายักษ์ เซิร์ท (Surt) ผู้สังหารมหาเทพเฟรย์ ก็แกว่งดาบอัคคีของมันเกิดเป็นเปลวเพลิงแผดเผาโลกทั้งเก้า
ก่อนที่ผืนแผ่นดินทั้งหมดจะจมหายไปใต้มหาสมุทรอันเดือดพล่าน
หลังจากวันมหาวิบัติรักนาร็อคผ่านพ้นไปแล้ว
แผ่นดินก็ผุดขึ้นอีกครั้งจากท้องทะเล โลกใหม่นี้เต็มไปด้วยความสดชื่นเขียวขจี
ธิดาแห่งสุริยเทวีองค์เดิมขับราชรถสุริยันขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง
พฤกษาโลกแตกยอดอ่อนแทงทะลุพื้นดิน และในที่สุดก็แผ่กิ่งก้านสาขาดังที่เคยเป็นมา
มนุษย์ชายหญิงคู่เดียวที่รอดจากยุคโลกาวินาศ
คือ ลีฟท์ (Lift)และ ลีฟท์ธราเซียร์ (Liftrasir) ซึ่งหนีเข้าไปแอบซ่อนอยู่ในโพรงของอี๊กก์ดราซีลก็ออกมา
เพื่อสร้างพลเมืองให้แก่โลกเช่นกัน
เหล่าเทพเจ้ามิได้สิ้นพระชนม์ทั้งหมด
เทพวีดาร์ (Vidar) โอรสแห่งจอมเทพโอดิน ผู้สังหารเฟนเรียร์เป็นการแก้แค้นให้พระบิดาในช่วงแห่งกาลมหาวิบัติ ปรากฏพระองค์ขึ้นอีกครั้ง
และทรงพบกับ เทพวาลี (Vali) เทพโมดี (Modi) และ เทพมักนี (Magni) ผู้ทรงคว้าฆ้อนวิเศษของมหาเทพธอร์มาได้ก่อนมหาอัคคีจะผลาญโลก
แม้แต่เทพแห่งความดีงาม บัลเดอร์ รวมทั้งเทพบิดรโฮเนียร์
และเทพโฮเดอร์ก็ทรงฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง
เทพทั้งเจ็ดองค์ประทับนั่งลงบนทุ่ง
อีดา (Ida)
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นแดนสวรรค์อัสการ์ด
ต่างก็ทรงระลึกถึงเกียรติยศและชื่อเสียงของบรรดาทวยเทพที่สิ้นพระชนม์ไป และทรงสร้างสรวงสวรรค์ขึ้นใหม่
ทรงสร้าง มหาปราสาทกีมลี (Gimli) ให้ใหญ่โตกว่ามหาปราสาทกลัดส์ไฮม์องค์เดิม
องค์เทพบัลเดอร์ ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นพระเป็นเจ้าสูงสุดอย่างสมบูรณ์แล้ว
ทรงรับหน้าที่ปกครองสวรรค์และโลกมนุษย์ ด้วยพลังอำนาจแห่งความดีงามของพระองค์
ยังผลให้โลกใหม่เต็มไปด้วยสันติสุข ไม่มีการทำร้ายกัน ไม่มีความชั่วร้ายในจิตใจผู้คน ไม่มีความอดอยากแร้นแค้น หรือความเจ็บไข้ได้ป่วย
มันคือยุคทองที่มวลมนุษย์ใฝ่ฝันโดยแท้ละครับ...
ผู้สันทัดกรณี (ที่นับถือศาสนาคริสต์) เกี่ยวกับเทวปกรณ์สแกนดิเนเวีย ส่วนมากเห็นพ้องกันว่า โลกใหม่ที่ปกครองโดยจอมเทพบัลเดอร์ ก็คือโลกที่เราอยู่กันในปัจจุบันนี่แหละครับ และจอมเทพบัลเดอร์ ก็คือ พระเยซู ในความเชื่อของชาวนอร์สนั่นเอง
คงเป็นการยากนะครับที่จะสืบค้นว่า
ความเห็นผิดเช่นนี้เริ่มต้นมาจากไหน
เพราะถ้าคิดตามหลักสามัญสำนึกง่ายๆ
นะครับ จนกระทั่งสิ้นยุคไวกิ้งเมื่อพันปีมาแล้ว
ชาวนอร์สยังคงบูชาคณะเทพเอเซียร์ ในฐานะที่พระองค์ยังทรงมีพระชนม์อยู่
และปรารถนาที่จะได้รับการคัดเลือกไปวัลฮัลลาหลังสิ้นชีวิต
เพื่อเข้าร่วมรบกับเหล่าเทพในวันสิ้นโลก
แล้วถ้าหากว่า รักนาร็อค
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีตกาล ก่อนที่จะเกิดโลกยุคของเรา
สิ่งที่กล่าวมานี้ก็จะเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง จริงมั้ยครับ?
ถ้าจอมเทพบัลเดอร์ทรงเป็นผู้ปกครองโลกของเราในปัจจุบัน
ชาวไวกิ้งก็ควรบูชาพระองค์ แทนที่จะเป็นจอมเทพโอดิน มิใช่หรือ?
เพราะฉะนั้น
ในเมื่อข้อเท็จจริงก็คือ จอมเทพโอดิน มหาเทวีเฟรยา มหาเทพธอร์
และคณะเทพเอเซียร์ ยังคงได้รับการบูชาอยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ และหลายๆ
คนในยุคของเรายังคงปวารณาตัวว่า จะใช้ชีวิตอย่างมีค่าที่สุด
เพื่อจะได้ไปสู่หอวีรชนวัลฮัลลา หลังจากความตายมาถึง
วันมหาวิบัติโลกหรือรักนาร็อคจึงเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นครับ
และเมื่อเป็นเทพนิยาย
ก็เป็นอันว่าไม่ต้องคาดหวังว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นไปตามที่ผมบรรยายมาแล้วทุกตัวอักษร
เพราะต่อให้พื้นฐานมันเกิดจากญาณหยั่งรู้
หรือไม่ก็คำบอกเล่าจากองค์เทพเจ้า ผ่านผู้วิเศษบางคน
มันก็ถูกต่อเติมเสริมแต่งด้วยจินตนาการมนุษย์เป็นอันมาก
และการสิ้นพระชนม์ของจอมเทพโอดิน รวมทั้งเทพเจ้าองค์สำคัญทั้งหมด โดยให้เทพรุ่นลูกหลานที่ไม่มีบทบาทมาก่อน ช่วยกันสร้างโลกใหม่แทน
ดูยังไงๆ ก็ไม่มีเหตุผลรองรับครับ ไม่มีที่มาที่ไป
แต่ใครที่สนใจเทพนิยายนอร์ส
ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องเหล่านี้ครับ แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ตาม
……………………………
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
พวกนอร์สเชื่อว่า แม้แต่เทพก็ตายอย่างกล้าหาญ เค้าถึงไม่กลัวตาย แต่ส่วนตัวเชื่อว่า จอมเทพโอดิน มหาเทพธอร์ ทรงเดชานุภาพมาก คงไม่สิ้นพระชนม์ในวันสิ้นโลกหรอกค่ะ อาจารย์คิดว่าไงคะ
ReplyDeleteผมก็คิดอย่างงั้นละครับ ถึงว่าดูไม่ค่อยมีเหตุผลรองรับ ไม่มีที่มาที่ไป
Deleteจริงๆ แล้วถ้าโอดินตายก็จะตรงกับอุดมการณ์ของชาวไวกิ้งนิคะ
ReplyDeleteใช่ครับน้องเปีย ดังนั้นจึงเป็นข้อพิสูจน์ว่า ชาวนอร์สเล่าเรื่องแบบนี้โดยอิงพื้นฐานทางวัฒนธรรมของพวกเขาเอง มากกว่าเรื่องที่มีพื้นฐานมาจากเทวศาสตร์จริงๆ
Deleteไม่เชื่อเหมือนกันค่ะว่าจอมเทพโอดิน และเทพใหญ่ๆ ทุกองค์จะตายในวันสิ้นโลก พระองค์เป็นเทพคงไม่มีการเกิดแก่เจ็บตายแล้ว ที่ไวกิ้งเชื่อว่าตายเพราะคิดจากวิถีของมนุษย์
ReplyDeleteเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นครับ ชาวนอร์สเป็นพวกที่ไม่มีจินตนาการลึกซึ้งนัก เทพนิยายจึงว่าไปตามวิถีชีวิตของพวกเขาเองเป็นหลัก ต่างจากกรีกที่จะมีความละเอียดอ่อนและปรุงแต่งได้ดีกว่าครับ
Delete