Monday, September 21, 2015

จอมเทพโอดิน : เทพแห่งความรู้และปรีชาญาณ


ก่อนที่จะพูดกันต่อไปถึงวิธีการใช้รูนส์ เรามารู้จักองค์เทพ ผู้ทรงเป็นเจ้าของศาสตร์แห่งเทพพยากรณ์นี้กันก่อนนะครับ

เพราะในการใช้รูนส์ตามสายวิชาที่ผมจะร่ายยาวในบทความต่อไป จะต้องมีพิธีกรรมเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าองค์นี้ด้วย

ซึ่งก็คือ จอมเทพโอดิน (Odin) ทรงเป็นพระเป็นเจ้าสูงสุด (Supreme God) ในศาสนาโบราณของชาวสแกนดิเนเวียนโบราณ หรือ ชาวนอร์ส (Norse) นั่นเอง




ศาสนาโบราณของชาวนอร์สนี้ เรียกว่า อาซาทรู (Asatru) ถึงแม้จะเป็นลัทธิศาสนาของชาวไวกิ้งผู้ชื่นชอบการรบราฆ่าฟัน แต่ก็ยกย่องความรู้เป็นสิ่งสูงสุดครับ

และเทพเจ้าเพียงองค์เดียวที่ทรงครอบครองสิ่งนี้ไว้อย่างครบถ้วน คือจอมเทพโอดิน

พระเป็นเจ้าองค์นี้ ทรงมีทิพยภาวะที่แตกต่างกัน 3 อย่างครับ

คือนอกจากในฐานะที่ทรงเป็น บิดาแห่งสรรพสิ่ง (All-Father) ซึ่งไม่ใช่เทววิทยาอาซาทรูมาแต่เดิม เป็นทิพยฐานะที่ได้รับอิทธิพลศาสนาคริสต์ในภายหลัง

(ซึ่งผมจะไม่ขอลงลึกในประเด็นนี้นะครับ เพราะเป็นเทพนิยายล้วนๆ พวกเราไม่จำเป็นต้องสนใจมาก)

อย่างแรก คือในฐานะของ เทวราช พระองค์มักได้รับการกล่าวถึงบ่อยครั้งว่าทรงเป็นบรรพบุรุษ วีรชน และผู้นำที่เข้มแข็งและหาญกล้า ซึ่งเป็นคุณสมบัติของกษัตริย์ในอุดมคติของไวกิ้ง

ในฐานะองค์ราชันย์แห่งเทพทั้งปวง จอมเทพโอดินประทับอยู่ในมหาปราสาท กลัดส์เฮม (Gladsheim) บนเทวบัลลังก์ชื่อว่า ลีดสเคียลฟ์ (Lidskialff) ทำด้วยทองคำ และยังมีเทวบัลลังก์อีก 12 องค์สำหรับคณะเทพชั้นผู้ใหญ่แห่งอัสการ์ดประชุมร่วมกัน ตั้งขนาบลีดสคีออลฟ์เป็นรูปครึ่งวงกลมข้างละ 6 องค์ ด้านหน้ามหาปราสาทกลัดส์เฮม มีอุทยานเขียวขจีขนาดใหญ่เรียกว่า อีดา (Ida)

พระองค์ทรงครอบครองของวิเศษมากมาย หนึ่งในนั้นคือเทพอาวุธคู่พระหัตถ์ หอกวิเศษกูงเนียร์ (Gungnir) ที่เมื่อพุ่งออกไปแล้วจะไม่มีวันพลาดเป้า และไม่ว่าเป้าหมายซ่อนอยู่ในที่ลึกลับซับซ้อนแค่ไหน หอกนี้ก็ตามหาจนพบ

นอกจากนี้ ก็ทรงมีอีกาสีดำสนิทคู่หนึ่งซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์ มีชื่อว่า ฮูกีน (Hugin) แปลว่า ความคิดและ มูนีน (Munin) แปลว่า ความจำ อีกาสองตัวนี้มีหน้าที่บินไปทั่วโลก เพื่อนำข่าวสารและเหตุการณ์ความเป็นไปต่างๆ กลับมารายงานพระองค์




การปรากฏพระองค์แบบที่เป็นเทวราช มักจะทรงสวมหมวกเหล็ก หรือหมวกทองคำที่มีปีกนกอินทรีสองข้าง หรือไม่ก็หมวกที่มีเขาโค้ง หมวกชนิดนี้คือสัญลักษณ์ของนักรบไวกิ้งที่เราคุ้นเคยกันละครับ แม้ว่าจะไม่เคยพบของจริงที่เป็นหลักฐานทางโบราณคดีเลยก็ตาม

พระองค์คือผู้ที่ประทานความแข็งแกร่งและกำลังใจแก่ผู้นับถือ เชื่อกันว่ากษัตริย์และนักรบผู้ใดบูชาพระองค์ พระองค์จะประทานชัยชนะในการต่อสู้ เพื่อให้ผู้นั้นได้สั่งสมชื่อเสียง และเกียรติยศจนถึงขั้นสูงสุด จนถึงวาระสุดท้าย พระองค์จะทรงนำวิญญาณของเขาไปสู่สวรรค์ ไปร่วมรบกับพระองค์ในวันสิ้นโลก เพื่อปกป้องมนุษย์ทั้งมวล

อย่างที่สอง คือในฐานะของ ผู้วิเศษ เจ้าแห่งปรีชาญาณและความลี้ลับ ซึ่งอันนี้ละครับที่เกี่ยวข้องกับรูนส์โดยตรง




พระองค์ปรากฏในตำนานตั้งแต่สมัยแรกๆ ในรูปลักษณ์ของบุรุษร่างผอมสูง  ฉลองพระองค์ด้วยผ้าคลุมยาวสีเทาหรือสีน้ำเงินแบบนักเดินทางทั่วไป และสวมพระมาลาปีกกว้างที่หลุบลงปิดพระเนตรข้างหนึ่ง

 พระองค์มักถือไม้เท้าเพื่อช่วยในการเดิน และทรงใช้ไม้เท้านั้นเพื่อร่ายพระเวท ทิพยรูปเช่นนี้ก็คือลักษณะทั่วไปของผู้ใช้เวทมนต์ ซึ่งเราอาจเรียกว่าผู้วิเศษหรือพ่อมด และเป็นทิพยรูปที่ทรงใช้ตลอดมาเมื่อปรากฏพระองค์ในมิติของมนุษยโลก
         
 พระองค์มักท่องเที่ยวไปในโลกโดยลำพัง มีเพียงสุนัขป่าสองตัว หรือไม่ก็อีกาคู่หนึ่งทรงพอพระทัยที่จะเข้าไปสังสรรค์กับผู้คนหรือครอบครัวเล็กๆ ที่อยู่โดดเดี่ยวเสมอ โดยไม่แสดงพระองค์ว่าเป็นเทพเจ้า

กล่าวกันว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ครอบครองเวทมนต์ทั้งปวง แปรเปลี่ยนพระองค์ไปตามสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ต่างๆ ทรงรอบรู้ในวิถีแห่งโลก ทรงใส่พระทัยในการเรียนรู้ที่มากขึ้น และมากขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน

ตำนานหนึ่งกล่าวว่า ทรงให้คุณค่าแก่ความรอบรู้อย่างสูงจนยินดีแลกพระเนตรข้างหนึ่งเพื่อมัน

ดังเทพนิยายที่เล่าขานถึงบ่อน้ำพุแห่งปัญญา ซึ่งยักษ์ชื่อ มิเมียร์ (Mimir) เฝ้าอยู่ จอมเทพโอดินทรงต้องการดื่มน้ำในบ่อนั้น มิเมียร์ก็ขอพระเนตรข้างหนึ่งของพระองค์เป็นการตอบแทน 





ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วนะครับ...องค์จอมเทพจะทรงสังหารยักษ์ตนนี้เสีย แล้วทรงดื่มน้ำสักเท่าใดก็ได้ แต่พระองค์ไม่ทำ เพราะเห็นว่านั่นเป็นวิถีแหงคนชั่ว

จอมเทพโอดินจึงทรงมีพระเนตรเพียงข้างเดียว แต่พระองค์ก็ทรงมองเห็นทุกสิ่ง (One-Eyed, All-Seeing God)

และพระองค์กระทำดังนี้เพื่อเป็นอุทธาหรณ์ว่า มนุษย์ผู้ต้องการได้มาซึ่งสิ่งเลอค่าที่สุด เขาจะต้องทำตามเงื่อนไข และต้องเสียสละบางสิ่งที่สำคัญยิ่งเพื่อบรรลุถึงความปรารถนานั้น

พระองค์กระทำยิ่งไปกว่านั้นในปฐมกาล ทรงบูชายัญพฤกษาโลก ด้วยการแขวนพระองค์เองกับคาคบไม้อันแน่นหนา เหนือผืนน้ำเย็นยะเยียบเบื้องล่างเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน เพื่อให้ทรงเข้าถึงปรีชาญาณอันสูงสุด

ในเวลาเหล่านั้น พระองค์ไม่เสวยอาหารและน้ำ บางตำรายังกล่าวว่า ทรงทิ่มแทงพระวรกายของพระองค์เองด้วยหอกเล่มหนึ่ง

ทุกวันและคืนที่ผ่านไป ท่ามกลางความทรมานยิ่งกว่าที่ผู้ใดจะทนได้ ความรู้สูงสุดแห่งจักรวาลหลั่งไหลเข้าสู่พระองค์ จอมเทพทรงเต็มไปด้วยความปีติ

จนกระทั่งในที่สุด พระองค์ก็เข้าถึงสิ่งที่ทรงแสวงหาเมื่อเข้าสู่แดนมรณะ

พระองค์สิ้นพระชนม์ และถือกำเนิดขึ้นใหม่่ในเวลาเดียวกันนั้นเองครับ ในพระวรกายเดิม ซึ่งบัดนี้ไม่มีบาดแผลและความทุกข์ทรมานอีกต่อไปแล้ว

จอมเทพทรงหยั่งปลายพระดรรชนีลงสู่ผิวน้ำเบื้องล่าง ทรงบันทึกปรีชาญาณทั้งหมดที่พระองค์ได้รับจากการบูชายัญนี้ในรูปอักษรศักดิ์สิทธิ์ 24 ตัว เรียกว่า รูนส์ (Runes) ซึ่งในภาษานอร์สแปลว่า "ความลับ"




รูนส์จึงเป็นอักขระแห่งปรีชาญาณ เป็นตัวอักษรที่ถือกำเนิดจากบิดาแห่งสรรพสิ่งเมื่อพระองค์เข้าถึงสัจธรรมแห่งจักรวาล ทุกตัวอักษรต่างมีพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของมันเอง

นับแต่นี้ไป จอมเทพ และผู้ดำเนินรอยตามพระองค์ทุกคนก็จะสามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแจ่มชัดด้วยการใช้อักษรเหล่านี้

และเมื่อพระองค์ทรงนำอักษรเหล่านี้ไปจารึกบนสิ่งต่างๆ มันก็มอบพลังอำนาจแก่สิ่งนั้น ตามคุณสมบัติของอักษรแต่ละตัวด้วยครับ

จอมเทพโอดิน จึงได้ประทานความรู้ในการใช้อักขระแห่งปรีชาญาณนี้แก่บรรพบุรุษของเรา ซึ่งในเทวปกรณ์นอร์ส เรียกว่า ชาวมิดการ์ด (Midgard) ในเวลาต่อมา เพื่อให้ใช้ในฐานะของเทพพยากรณ์

 สำหรับใครก็ได้ที่จะสื่อสารกับพระองค์ และต้องการเข้าถึงพลังอำนาจอันเร้นลับเช่นเดียวกับพระองค์

และอย่างที่สาม คือ พญายม ผู้ปรากฏพระองค์ในสงครามทุกหนแห่ง เพื่อพิพากษาว่า นักรบผู้กล้าหาญคนใดที่ควรจะตายอย่างวีรบุรุษ แล้วพระองค์จะได้ทรงนำดวงวิญญาณของนักรบผู้นั้นไปสู่หอวีรชน วัลฮัลลา (Valhalla)





ชาวแองโกล-แซกซัน ได้กำหนดให้วันพุธเป็นวันของจอมเทพโอดิน เรียกว่า Wednesday โดยมีที่มาจากคำว่า Wodnesdaeg ในภาษานอร์สนั่นเอง

การกำหนดเช่นนี้คงกระทำกันด้วยพื้นฐานความรู้ทางโหราศาสตร์ เพราะในทางโหราพยากรณ์นั้น ดาวพุธนั้นเป็นดาวนักปราชญ์หรือดาวแห่งสติปัญญา ไหวพริบปฏิภาณ ความรอบรู้ การประพันธ์ การทูต การเจรจา การอภิปรายหรือการปาฐกถา การทำนายทายทักและการเดินทาง แต่ก็มีลักษณะของความไม่แน่นอนอยู่ด้วย


ซึ่งก็ตรงกับคุณสมบัติของจอมเทพโอดินทุกประการ




……………………………


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

8 comments:

  1. ภาพล่างสุด ดูพระองค์ท่านเป็นเทพที่ลึกลับมากจริงๆ ค่ะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ผมก็ชอบภาพนี้ครับ จอมเทพโอดินจริงๆ เป็นชายชราร่างผอมแต่แข็งแรง แต่ไม่ถึงกับดูกำยำล่ำสันแบบนักรบไวกิ้ง และแม้ในฐานะที่เป็นเทวราช พระองค์ก็บังดูลึกลับเช่นกันครับ

      Delete
    2. อ้าว...ไม่ใช่แล้ว ภาพก่อนล่างสุดค่ะ ^ ^

      Delete
    3. ผมมาปรับปรุงหน้านี้ใหม่ มีการเพิ่มรูป ลำดับภาพเลยผิดจากเดิม ขออภัยครับ ^ ^

      Delete
  2. ขอเรื่องเทพีเฟรยาด้วยซิคะ

    ReplyDelete
  3. เป็นเทพที่ลึกลับนะคะ แต่ใจดี มีเมตตามากเลยค่ะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. แต่ท่านก็ใจดี+มีเมตตาเฉพาะกับคนที่สมควรเท่านั้นนะครับ ถ้าเป็นพวกนิสัยแบบโลคีนี่ ในความเป็นจริงท่านไม่เลี้ยงไว้ดูเล่นอย่างในเทพนิยายแน่นอน

      Delete

Note: Only a member of this blog may post a comment.