Saturday, November 28, 2015

พิธีกรรมในลัทธิศาสนาอาซาทรู

ลัทธิศาสนาอาซาทรูมีการประกอบพิธีกรรมใหญ่ๆ อยู่ 8 ครั้งในแต่ละปี เรียกว่า บล็อท (Blot)





นอกจากนี้ ยังมีพิธีกรรมปลีกย่อยซึ่งจัดขึ้นตามโอกาสต่างๆ ไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน เรียกกันว่า ซูมเบล (Sumbel) ก็คือเป็นพิธีเฉลิมฉลองที่จัดกันตามที่คนในครอบครัวหรือหมู่บ้านจะเห็นสมควร

พิธีกรรมในลัทธิศาสนาอาซาทรูดั้งเดิม เท่าที่มีหลักฐานเหลืออยู่นะครับ ส่วนใหญ่เป็นพิธีสำหรับจัดกลางแจ้ง โดยศูนย์กลางของสถานที่ประกอบพิธีกรรมนั้นคือ ต้นไม้ใหญ่เช่นต้นโอ๊ค หรือต้นไม้จำพวกมะกอก (Ash)  และก้อนหินขนาดใหญ่สำหรับเป็นแท่นบูชา

ชาวนอร์สสมัยโบราณที่อยู่รวมกันเป็นเผ่าเล็กๆ มักจะคัดเลือกพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งไว้สำหรับประกอบพิธีเช่นนี้เป็นประจำ โดยดูจากลักษณะและความสมบูรณ์ของต้นไม้ใหญ่ ซึ่งในที่นี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แทน พฤกษาโลก หรือ อี๊กก์ดราซีล (Yggdrasil) ที่เป็นแกนกลางของโลก ตามคติของชาวนอร์ส




ต้นไม้ซึ่งเป็นศูนย์กลางของพิธีกรรมนี้ จะต้องมีอาณาบริเวณโดยรอบที่มากพอจุคนในชุมชนได้ทั้งหมด พื้นที่ดังกล่าวจะได้รับการถากถางให้โล่งเตียนเป็นรูปวงกลม บางทีก็มีการเอาหินจากลำธารบริเวณนั้นมาวางเรียงไว้โดยรอบ

จากนั้นก็ไปเที่ยวหาก้อนหินจากภูเขาใกล้เคียงมาวางใต้ต้นไม้นั้น โดยคัดเลือกหินทั้งก้อนซึ่งมีผิวหน้าแบนเรียบ มีขนาดพอเหมาะ เมื่อได้มาแล้วก็เอามาวางไว้ที่โคนต้นไม้สำหรับประดิษฐานเทวรูปองค์ประธาน คือจอมเทพโอดิน

และจัดวางเครื่องตกแต่งแท่นบูชาอื่นๆ ได้แก่โล่กลม คบเพลิง ถ้วยที่ทำจากเขาสัตว์ และดาบ เป็นต้น

ดาบเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ ซึ่งเป็นที่พอพระทัยของเทพเจ้า ดังนั้นพิธีที่เคร่งครัดจริงๆ จะต้องมีดาบเป็นส่วนประกอบทุกครั้ง ซึ่งก็ใช้ดาบของผู้นำชุมชนนั่นเองครับ ภายหลังจึงมีการสร้างดาบขึ้นมาสำหรับประกอบพิธีโดยเฉพาะ




ซึ่งตรงนี้ ได้ส่งอิทธิพลไปถึง ลัทธิวิคคา (Wicca) และมายาศาสตร์ยุโรปโบราณอีกหลายสาขาเลยนะครับ ซึ่งบรรดาพ่อมดแม่มดล้วนแต่ต้องมีดาบในการประกอบพิธีกรรมของตนทั้งสิ้น

การจัดสถานที่บูชาอีกแบบหนึ่ง ใช้ต้นไม้และลานโล่งรูปวงกลมเป็นหลักเช่นกัน แต่แทนที่จะหาก้อนหินหรือวัสดุอื่นมาทำแท่นบูชา กลับใช้วิธีเขียนสัญลักษณ์ของจอมเทพโอดินไว้บนผ้าหรือแผ่นหนังสัตว์ เอาไปแขวนไว้กับต้นไม้ ถือว่าเป็นตำแหน่งประธานของพิธีกรรมครับ

ส่วนสัญลักษณ์ของเทพอื่น ก็แขวนไว้บนเสากระหนาบโคนต้นไม้ ที่โคนต้นไม้ก็เอาดาบกับถ้วยเขาสัตว์ไปวางพิงไว้ ถัดมาเบื้องหน้าต้นไม้นั้นก่อกองไฟกองหนึ่ง แล้วปักคบเพลิงประจำทิศทั้งสี่โดยรอบลานประกอบพิธี

แบบหลังนี่เป็นการปฏิบัติบูชาอย่างง่าย ในกรณีที่ไม่มีเทวรูป

ในวัฒนธรรมของพวกนอร์ส เทวรูปคงเป็นของหายากครับ และเท่าที่เหลือรอดมาจนถึงยุคของเราส่วนใหญ่ทำจากโลหะที่หล่อด้วยฝีมือหยาบ และมีขนาดเล็ก เป็นศิลปะแบบพริมิทีฟ (Primitive) เทวรูปสำหรับบูชาประจำท้องถิ่นต่างๆ ที่แกะจากไม้หรือหินอาจมีขนาดใหญ่บ้าง แต่ก็ยังคงทำด้วยฝีมือที่หยาบเช่นกัน




นี่เป็นเรื่องที่น่าพิศวง สำหรับนักโบราณคดี เพราะในขณะที่งานศิลปะประเภทอื่นของชาวนอร์สที่หลงเหลือมาล้วนแสดงว่า ทำโดยช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญและมีทักษะสูง เช่น งานโลหะและเครื่องประดับต่างๆ จนถึงงานแกะสลักไม้ตกแต่งหัวเรือที่ละเอียดประณีต แต่เรากลับไม่เคยได้พบเทวรูปดีๆ ที่ทำไว้สำหรับบูชาเลย

ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านจึงคิดว่า ที่จริงแล้วอาจมีการสร้างเทวรูปดีๆ อยู่บ้างเหมือนกัน ซึ่งใช้บูชาในเมืองที่มั่นคงแล้วและมีฐานะดี รวมทั้งน่าจะมีการสร้างเทวาลัยด้วย ซึ่งทำจากวัสดุที่ไม่คงทนถาวร เช่นไม้

เพราะจากงานนิพนธ์ชุด Germania ของ คอร์เนลิอุส ทัคซิตุส (Cornelius Tacitus) นักปราชญ์ชาวโรมันที่เขียนขึ้นในค.ศ.98 กล่าวว่า ชนเผ่าเยอรมันนิค (ซึ่งนอร์สก็รวมอยู่ด้วย) ในสมัยนั้นมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาและเทวสถานค่อนข้างชัดเจน มีงานรื่นเริงและงานสำคัญทางศาสนาตลอดปี อีกทั้งยังมีนักบวชซึ่งทำหน้าที่พยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ คอยดูแลพระเทวรูป และประกอบพิธีกรรมด้วย




ถ้าหากว่าพวกนอร์สอยู่ในข่ายนี้ บรรดาเทวสถานและเทวรูปที่เป็นงานฝีมือชั้นสูงซึ่งพวกเขาคงทำไว้ไม่มากนักก็คงถูกทำลายไปในการสงคราม ซึ่งสมัยนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ผู้ที่รบชนะก็มักเผาทำลายอาคารบ้านเรือนต่างๆ ของผู้แพ้

ที่เหลือรอดมาได้ก็อาจถูกดัดแปลงเป็นโบสถ์คริสต์ ซึ่งบางแห่งมีหลักฐานว่าอาจเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปอาซาทรูมาก่อน หรือไม่ก็ถูกเผาทิ้งไปด้วยฝีมือของนักบวชคริสต์เช่นกัน

อันที่จริง ผู้สนใจเรื่องราวต่างๆ ของชาวนอร์ส คงทราบกันดีอยู่แล้วว่าคนเหล่านี้มีศาสนสถานซึ่งโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใคร 

กล่าวคือมีลักษณะเป็นปราสาทก่อด้วยไม้ทั้งหลัง รูปแบบสถาปัตยกรรมโดยทั่วไปเหมือนกับวัดบางแบบของชาวไทยใหญ่ทางภาคเหนือของเราไม่มีผิดครับ ไม่ว่าจะเป็นหลังคาลดชั้น หอคอยมีหลังคายอดแหลม ช่อฟ้า และรูปทรงอาคารที่ดูเหมือนกันแทบทุกอย่าง




รูปแบบที่พ้องกันเช่นนี้ ยังไม่มีผู้อธิบายนะครับว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อชาวไวกิ้งไม่เคยเดินทางมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าพวกเขาจะมาไกลถึงรัสเซียก็ตาม อีกทั้งศาสนสถานแบบนี้หลังเก่าที่สุดที่เหลืออยู่ก็เก่าแก่กว่าวัดไทยใหญ่หลังเก่าที่สุดที่เรารู้จักกันมาก

และข้อสำคัญ  ศาสนสถานอันมีลักษณะเฉพาะนี้ ไม่มี เครือญาติทางสถาปัตยกรรมในที่อื่นใดของยุโรป ที่เพียงพอจะสันนิษฐานว่า เป็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นอย่างเป็นลำดับขั้นตอนในวัฒนธรรมยุโรปเลยครับ

ปัจจุบัน ศาสนสถานเหล่านี้ล้วนเป็นโบสถ์คริสต์ทั้งสิ้น แม้บางแห่งอาจมีร่องรอยว่าเป็นเทวสถานมาก่อนแต่ก็ไม่ชัดเจน ถึงกระนั้นเมื่อดูจากความเชี่ยวชาญในการก่อสร้างก็พอจะกล่าวได้ว่า เป็นความรู้ที่ชาวนอร์สมีมาก่อนรู้จักศาสนาคริสต์

ดังนั้น จึงมีผู้สันนิษฐานว่าเทวาลัยของชาวนอร์สในสมัยโบราณอาจมีรูปแบบเช่นเดียวกันนี้ก็เป็นได้นะครับ

การประกอบพิธีกรรมต่างๆ ของพวกนอร์ส มักมีเวทมนต์เข้ามาเกี่ยวข้อง เวทมนต์และมายาศาสตร์ของชาวนอร์สมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ รูนส์ (Runes) กัลเดอร์ (Galdr) และ ซีเธอร์ (Seidhr)

รูนส์ เป็นเทพพยากรณ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งผมเขียนถึงไปหลายบทความแล้วก่อนหน้านี้นะครับ เป็นศาสตร์ของผู้วิเศษในวัฒนธรรมนอร์ส ซึ่งถ้าเป็นหญิงจะเรียกกันว่า เวิลวา (Völva)




กัลเดอร์ เป็นการใช้เวทมนต์คาถาซึ่งมักอยู่ในรูปของโศลกหรือบทกวี รวมทั้งเพลงขับร้อง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของพิธีปฏิบัติบูชาในเทศกาลต่างๆ

เป็นศาสตร์แห่งพิธีกรรมในระดับชุมชนขึ้นไปครับ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการบวงสรวงสังเวย และการบูชายัญ รวมทั้งการร่ายโศลกบอกเล่าเรื่องราวอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า เพื่อปลุกปลอบกำลังใจและความกล้าหาญ




ผู้วิเศษที่ใช้กัลเดอร์ ส่วนมากจะเป็นนักปราชญ์ หรือคีตธรมาก่อน กล่าวกันว่า พลังอำนาจของกัลเดอร์นั้นมีมาก สามารถหยุดได้แม้แต่ฝูงชนที่กำลังบ้าคลั่ง หรือจะทำให้ฝูงชนบ้าคลั่งก็ได้ตามต้องการ

ส่วน ซีเธอร์ เป็นศาสตร์ของผู้หญิงโดยเฉพาะ ส่วนมากใช้ปลุกเสกอาวุธ เครื่องราง และเรือรบ เพื่อให้มีพละกำลัง ความกล้าหาญ ความคงทนต่อศาสตราวุธ ชัยชนะ และสุขภาพที่ดี

บางทีใช้ประกอบเครื่องยาสมุนไพรรักษาโรคต่างๆ ใช้เสกเป่าให้คลอดบุตรง่าย มีแม้กระทั่งมนตราสำหรับทำเสน่ห์ หรือแปลงร่าง มนต์ที่ใช้ในการถอดกายทิพย์ การเล่นแร่แปรธาตุสำหรับสร้างอาวุธ เครื่องราง และใช้เพื่อเพิ่มผลิตผลทางการเกษตร




ซีเธอร์นี่ละครับ เป็นพื้นฐานของวิชาแม่มดในยุโรปยุคกลางที่เรียกกันว่า Witchcraft ที่ถูกพวกคริสต์โง่เง่า+ป่าเถื่อนไล่ฆ่าล้างผลาญจนยุโรปเข้าสู่ยุคมืด แล้วในที่สุดฝรั่งก็เลยโง่เบ็ดเสร็จทั้งในด้านการใช้เวทมนต์ และวิชาสมุนไพร (รวมทั้งล้างสมองคนทั่วโลกให้โง่ตาม) จนถึงทุกวันนี้

ในศาสตร์ทั้งสามนี้ ผู้ที่ใช้รูนส์และกัลเดอร์ จะนับถือจอมเทพโอดินเป็นบรมครู ส่วนผู้ใช้ซีเธอร์ จะนับถือมหาเทวีเฟรยาเป็นบรมครูครับ



……………………………



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

6 comments:

  1. เวิลวา เท่มากค่ะ อยากเป็นขึ้นมาทันที

    ReplyDelete
    Replies
    1. แต่กว่าจะเท่แบบในภาพได้ก็หืดขึ้นคอเหมือนกันครับ

      Delete
  2. ซีเธอร์นี่คล้ายๆ ไสยศาสตร์ไทยมั้ยคะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. คล้ายในหลายๆ ส่วนครับ ไม่ว่าจะเป็นการเสกอาวุธ หรือเมตตามหานิยม แต่วิธีการไม่เหมือนกันครับ

      Delete
  3. คนไวกิ้งนี่เค้าก็มีศาสตร์ที่ลึกซึ้งเหมือนกันนะคะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ก็เป็นเรื่องที่แปลกครับ เพราะชื่อเสียงของพวกนี้พูดกันตรงๆ ก็คือโจรสลัด แต่ก็กลับมีอะไรที่ลึกซึ้งละเอียดอ่อนมากๆ แถมยังยกย่องเรื่องสติปัญญามาก ไม่เหมือนโจรทั่วไป

      Delete

Note: Only a member of this blog may post a comment.