แอตแลนติส
(Atlantis/Ἀτλαντὶς)
เป็นอาณาจักรในตำนาน ที่ถูกกล่าวถึงโดย เพลโต (Plato/Πλάτων กรีกออกเสียงว่า พลาโตน) นักปราชญ์ชาวกรีกโบราณ
ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาล
เพลโต
เขียนเรื่องราวของอาณาจักรดังกล่าว โดยอ้างว่า โซลอน (Solon/Σόλωνας
กรีกออกเสียงว่า โซโลนาส)
รัฐบุรุษชาวเอเธนส์ที่มีชีวิตอยู่ในช่วง 630–560 ปีก่อนคริสตกาล
ได้รับรู้เรื่องราวของแอตแลนติส จากนักบวชชาวอียิปต์ท่านหนึ่ง
จากคำบอกเล่าของนักบวชไอยคุปต์
แอตแลนติส เป็นเกาะอันอุดมสมบูรณ์อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก
ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าลิเบียและเอเชียไมเนอร์รวมกัน
เพลโต ผู้ก่อเกิดตำนานแอตแลนติส |
เพลโตกล่าวว่า
แอตแลนติสเป็นมหานครที่มั่งคั่ง และเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด แบ่งการปกครองเป็น 10 นครรัฐ มีกษัตริย์ 10 พระองค์คอยร่วมประชุม
มีกำลังกองทัพบกและกองทัพเรือรวมกันทั้งสิ้น 1,210,000 คน
ตัวเลขนี้บ่งชี้ว่า ประชากรทั้งหมดจะต้องมีจำนวนหลายล้านทีเดียว
ชาวแอตแลนติสยุคแรกมีทั้งความรู้
และความสุภาพนุ่มนวล พวกเขามีความคิด “ในเรื่องการครอบครองทองคำและทรัพย์สินอื่น
ๆ อย่างไม่ถาวร พวกเขาไม่มัวเมาในความมั่งคั่ง
ทั้งความร่ำรวยก็ไม่อาจฉุดพาพวกเขาให้ละเลยการควบคุมตัวเองได้เลย”
พวกเขาทะนุถนอมมิตรภาพยิ่งกว่าความมั่งมีทางโลก
พลเมืองทั้งหมดอยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคีและสันติสุข เพลโตกล่าวว่า “พวกเขาเหยียดหยามทุกสิ่ง เว้นแต่ศีลธรรม”
แต่ในช่วงยุคสุดท้ายของประวัติศาสตร์แอตแลนติส ดินแดนแห่งนี้ก็เข้าสู่วิถึแห่งจักรวรรดินิยม
ชาวแอตแลนติสเริ่มไม่พอใจกับความร่ำรวยที่มี
และพยายามจะครองโลก โดยเริ่มจากการขยายอาณานิคมในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน
พวกเขาได้รับชัยชนะในการรุกรานนครรัฐต่างๆ
บนแผ่นดินใหญ่ของกรีก มีแต่นครเอเธนส์เพียงแห่งเดียวที่ยืนหยัดต่อสู้
และเป็นเหตุให้ สมุทรเทพโพโซดอน (Poseidon/Ποσειδώνας) ทรงพิโรธชาวแอตแลนติส
สิ่งนี้ทำให้ภัยพิบัติร้ายแรงเกิดขึ้น
จนเกาะแอตแลนติสจมหายไปใต้เกลียวคลื่น ภายในวันและคืนเดียว ในช่วงประมาณ 9,500 ปีก่อนคริสตกาล
เพลโตยืนยันว่า
แอตแลนติสเป็นเรื่องจริง ขณะที่หลายคนไม่เชื่อ แม้แต่ อริสโตเติล (Aristotle/Αριστοτέλης กรีกออกเสียงว่า อะริสโตเตลส) ลูกศิษย์ของเขาเอง
ยังไม่ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเลยครับ
ส่วนนักโบราณคดี
และนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องของแอตแลนติส ตามหลักวิชาอย่างจริงจัง
ก็มีความเห็นร่วมกันว่า ถ้าเรื่องราวของแอตแลนติสเป็นความจริง ก็จะมีปัญหาอยู่ 2 ประการคือ ระยะเวลา และ สถานที่ตั้ง
จากหลักฐานทางโบราณคดี
อารยธรรมระดับเมืองใหญ่แห่งแรกของโลก เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3,500
ปีก่อนคริสตกาล ในดินแดนเมโสโปเตเมีย ส่วนที่ปัจจุบันเป็นประเทศอิรัก
และไม่มีร่องรอยทางวัฒนธรรมแม้แต่ระดับของชุมชนถาวร
อยู่ในทวีปยุโรป ก่อนหน้า 7,000 ปีก่อนคริสตกาลเลย
ไม่มีแม้แต่การใช้ม้ากันในยุโรป
จนกระทั่งยุคสำริด เมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล
ดังนั้น
จึงไม่มีนครรัฐเอเธนส์ให้ไปทำสงครามกับแอตแลนติส ในยุค 9,500 ปีก่อนคริสตกาลอย่างแน่นอนครับ
การที่เพลโตรระบุว่า
แอตแลนติสตั้งอยู่เลย เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส (Pillars
of Hercules) ออกไป ซึ่งในปัจจุบัน คือ ช่องแคบยิบรอลตาร์ (Gibraltar)
ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง
แอตแลนติส ก็น่าจะเป็นหมู่เกาะ อะซอเรส (Azores)
หรือ คานารีส (Canaries)
แต่หมู่เกาะหเล่านี้
ก็เล็กมากเกินกว่าจะเป็นทวีปแอตแลนติสของเพลโต
และจากการศึกษาทางโบราณคดีในหมู่เกาะเหล่านี้
ก็ยังไม่มีการค้นพบหลักฐานว่าเคยเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมใดๆ
ที่เก่าแก่ระดับนั้นมาก่อน
การสำรวจ ณ
แหล่งโบราณคดี หรือพื้นที่อื่นของโลก ที่มีผู้เสนอกันไปต่างๆ นานา
ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน
ในสายตาของนักโบราณคดี
นักธรณีวิทยา และนักสมุทรศาสตร์แล้ว แอตแลนติสไม่เคยมีหลักฐานอื่นใด
นอกจากในงานนิพนธ์ของเพลโตครับ
แต่แล้ว ความจริงก็ค่อยๆ
เปิดเผยขึ้น ในปี ค.ศ.1900
เมื่อ เซอร์
อาร์เธอร์ อีแวนส์ (Sir Arthur Evans) นักโบราณคดีชาวอังกฤษ
ได้ขุดพบ พระราชวังคนอสซอส (Knossos) แห่ง อารยธรรมไมโนอัน
(Minoan) บน เกาะครีต (Crete) ใน ทะลอีเจียน
(Aegean)
จากซากโบราณวัตถุสถาน
ที่ทยอยปรากฏสู่สายตาชาวโลก เห็นได้ชัดว่า
อารยธรรมไมโนอันเป็นอารยธรรมชั้นสูง
ที่เคยรุ่งเรืองในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ก่อนที่อารยธรรมกรีกจะถือกำเนิดต่อมาในภูมิภาคนี้
ภาพ Reconstruction พระราชวังคนอสซอส บนเกาะครีต |
ชาวไมโนอันเป็นพ่อค้าที่มั่งคั่งร่ำรวย
จากการค้าข้าวสาลี ทองแดง ตะกั่วและเครื่องปั้นดินเผา กับอียิปต์
และผู้คนจากที่ไกลๆ โดยมีเมืองท่าสำคัญอยู่บน เกาะธีรา (Thera)
ซึ่งปัจจุบันเรียก เกาะซานโตรีนี (Santorini)
พวกเขารู้จักสร้างพระราชวัง
และบ้านที่มีระบบระบายอากาศ ห้องน้ำที่มีชักโครก มีระบบการระบายน้ำที่ดีเยี่ยม
รู้จักขุดคลอง อุโมงค์ มีเทคโนโลยีในการถลุงแร่ นับเป็นอารยธรรมในอุดมคติ
ที่เจิดจรัสขึ้นเป็นครั้งแรกในยุโรปอย่างแท้จริง
แต่เมื่อราวๆ
3,500 ปีมานี้เอง อาณาจักรไมโนอันก็ได้สาบสูญไป ทำนองเดียวกับแอตแลนติสของเพลโต
แต่ปัญหาก็คือ จากการสำรวจทางโบราณคดี
และทางธรณีวิทยาที่กระทำในเวลาต่อมาได้แสดงให้เห็นว่า เกาะครีตไม่เคยจมลงใต้ทะเลเลย
ศ.สปิริโดน นิโคเลา มารินาโตส |
จนกระทั่งอีก 30 ปีต่อมา เมื่อ ศ.สปิริโดน นิโคเลา มารีนาโตส (Spyridon
Nikolaou Marinatos/Σπυρίδων Νικολάου Μαρινάτος 1901–1974)) นักโบราณคดีชาวกรีก
ได้ขุดค้นที่เมือง อโครตีรี (Akrotiri) ทางใต้ของเกาะธีรา
เขาได้พบซากเมืองใหญ่ในยุคสำริด ถนนหนทาง เครื่องปั้นดินเผา โบราณวัตถุ
และสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ มากมายของอารยธรรมไมโนอัน
วัตถุเหล่านี้ถูกฝังอยู่ภายใต้เถ้าถ่านภูเขาไฟ
ซึ่งระเบิดบนเกาะธีรา เถ้าถ่านและฝุ่นละอองจากการระเบิดดังกล่าว
ได้ลอยไกลจากเกาะธีราไปปกคลุมเกาะครีต ซึ่งอยู่ไกลกันถึง 96
กิโลเมตร
ดังนั้น ในปี ค.ศ.1939 ศ.มารีนาโตสจึงได้เสนอทฤษฎีว่า อารยธรรมไมโนอันบนเกาะครีต
ต้องล่มสลายเพราะการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ของภูเขาไฟบนเกาะธีรานั่นเองครับ
โดยในช่วง 1,520 ปีก่อนคริสตกาลนั้น ภูเขาไฟบนเกาะธีราได้ระเบิด 3
ครั้ง และในครั้งท้ายสุด พลังระเบิดของภูเขาไฟที่สูงถึง 1,600 เมตร มีความรุนแรงมากยิ่งกว่าการระเบิดของ ภูเขาไฟกรากาตัว (Krakatoa)
ในอินโดนีเซีย ที่ระเบิดเมื่อปี ค.ศ.1883 ถึง 5 เท่า
เสียงภูเขาไฟระเบิดในครั้งนั้น
สามารถได้ยินไปไกลถึง 3,000 กิโลเมตร ฝุ่น
ควันและเขม่าภูเขาไฟได้พุ่งขึ้นฟ้าบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่ 400 ตารางกิโลเมตรในบริเวณรอบๆ ภูเขาไฟ เปลี่ยนสภาพจากกลางวันเป็นกลางคืน เถ้าถ่านและลาวาที่หนาถึง
30 เมตรได้ทับถมบ้านเมืองอันสวยงามบนเกาะธีรา
จนหายไปจากโลกนี้ภายในวันและคืนเดียว
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ของโบราณสถานที่จมอยู่ใต้เถ้าถ่านภูเขาไฟบนเกาะธีรา แสดงให้เห็นบรรยากาศการค้าขายทางทะเลที่คึกคัก |
และอีก
40 ปีต่อมา การยุบตัวของปล่องภูเขาไฟบนเกาะธีรา
ก็ทำให้ทะเลบริเวณรอบเกาะปั่นป่วน คลื่นยักษ์สึนามิที่มีความสูงถึง 30 เมตรเข้าถล่มเกาะครีต ทำให้พระราชวัง และเมืองต่างๆ ของอาณาจักรไมโนอันพังพินาศ
เหตุการณ์นี้
มีผลทำให้อารยธรรมไมโนอันถึงจุดจบ แล้ว อารยธรรมไมซีเนียน (Mycenean)
ก็ได้เข้ามาแทนที่ทันที
แม้ช่วงเวลาในการจมของเกาะธีรา
ไม่ตรงกับคำบอกเล่าของเพลโต ที่ว่า แอตแลนติสมีอยู่เมื่อ 9,000 ปี ก่อนสมัยของโซลอน
แต่ ศ.อันเจโลส กาลาโนปูโลส
(Angelos
Galanopulos/Αγγέλος Γαλανόπουλος 1910-2001) นักธรณีวิทยาชาวกรีก
ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว ซึ่งได้ศึกษาเรื่องแอตแลนติส
และอารยธรรมไมโนอันอย่างละเอียด ก็อธิบายว่า เพลโตระบุว่า
นครหลวงของแอตแลนติสมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 11 ไมล์
ซึ่งมีขนาดเดียวกันกับเกาะธีรา
และแม้ตัวเลขอื่นๆ
ของเพลโต จะมีปริมาณมากเกินกว่าจะนำมาเปรียบเทียบกันได้ แต่ถ้านำทุกๆ
ตัวเลขที่มากกว่า 1,000 ที่เพลโตอ้างไว้
มาหารด้วย 10
ก็จะทำให้ตัวเลขแสดงขนาดและปริมาณทั้งหมดของแอตแลนติส ลดลงเท่ากับอาณาจักรไมโนอันครับ
ดังนั้น
หากตัดเลข 0 ออกจากบรรดาตัวเลขเหล่านั้นเพียงตัวเดียว ระยะเวลาที่แอตแลนติสจมหายไปในทะเล ก็จะกลายเป็น 900
ปีก่อนสมัยของโซลอน ตรงกับเวลาที่ภูเขาไฟระเบิดที่เกาะธีราพอดี
หนังสือที่ ศ.กาลาโนปูโลส เขียนร่วมกับ เอ็ดเวิร์ด เบคอน เรื่องความจริงเบื้องหลังตำนานแห่งแอตแลนติส |
ศ.กาลาโนปูโลสคิดว่า
ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่โซลอนแปลคำบอกเล่าของนักบวชอียิปต์ผิด จากตัวเลขจำนวน 100 แปลผิดเป็นจำนวน 1,000
ซึ่งความสับสนเช่นเดียวกันนี้
ก็ยังมีอยู่ในภาษาอังกฤษปัจจุบันนะครับ เช่นตำว่า Billion ที่ชาวอเมริกันแปลว่า หนึ่งพันล้าน ขณะที่ชาวอังกฤษแปลว่า หนึ่งล้านล้าน
ส่วนผมมองว่า
บางทีอาจจะไม่ใช่โซลอนแปลผิดก็ได้
เพลโตเองนั่นแหละครับ
ที่อาจจะทำให้ภาพลักษณ์ของแอตแลนติสดูยิ่งใหญ่ขึ้น โดยการเติมเลข 0 เข้าไปในทุกๆ ตัวเลขที่ระบุถึงปริมาณของสิ่งต่างๆ ในตำนานแอตแลนติส
ส่วนการที่มีผู้โต้แย้ง
ดร.กาลาโนปูโลส ว่า
1. ถ้าแอตแลนติสที่แท้จริงอยู่ในทะเลอีเจียน
แล้วเหตุใด เพลโตจึงบอกว่าอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก?
2. ถ้าแอตแลนติสอยู่บนเกาะครีต
และเกาะธีรา ซึ่งใกล้กับแผ่นดินใหญ่ของกรีกแล้ว เหตุใดชาวกรีกจึงไม่รู้จักแอตแลนติส
จนกระทั่งโซลอนได้ฟังมาจากนักบวชไอยคุปต์?
ก็มีคำตอบในข้อแรกว่า
เพราะขนาดของแอตแลนติสตามที่เพลโตระบุไว้นั้น ใหญ่เกินกว่าที่จะใส่ลงในที่ใดๆ ได้
นอกจากในมหาสมุทรแอตแลนติกไงครับ
และก็เป็นไปได้ด้วยนะครับ
ที่จะมีการตีความคำบอกเล่าของเพลโตผิด
เพราะการที่เขากล่าวว่า
แอตแลนติสตั้งอยู่เลย “เสาหินของเฮอร์คิวลีส” ออกไป ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่คิดกันว่า หมายถึงเลยช่องแคบยิบรอลตาร์ออกไปนั้น
ดร.กาลาโนปูโลสอธิบายว่า ชื่อดังกล่าว ครั้งหนึ่งยังเคยหมายถึงเนิน 2 แห่ง ที่ยื่นไปทางชายทะเลภาคใต้ของกรีซในปัจจุบันด้วย ซึ่งก็จะเป็นจุดชี้ทางไปเกาะครีตนั่นเอง
ส่วนคำตอบในข้อสอง
ก็ชัดเจนว่า ชาวกรีกนั้นเป็นชนชาติใหม่เกินกว่าจะรู้จักเรื่องราวของอารยธรรมไมโนอันมากนัก
เทพนิยายของพวกเขา
(รวมทั้งในส่วนที่กล่าวถึงเกาะครีต เช่น ตำนาน Minotaur และเขาวงกต) เริ่มต้นในช่วง 1,300 ปีก่อนคริสตกาล
ซึ่งก็เป็นช่วงที่ชาวไมซีนี่ครอบครองเกาะครีต และพื้นที่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว
และแม้แต่ประวัติศาสต์ของไมซีนี่ในช่วงเวลาเดียวกันนี้
ชาวกรีกยังจดจำได้เพียงเลือนลาง นับประสาอะไรล่ะครับ กับอารยธรรมไมโนอันที่เก่ากว่านั้น
โบราณสถานส่วนหนึ่งของพระราชวังคนอสซอส บนเกาะครีตในปัจจุบัน |
ดังนั้น เรื่องราวทั้งหมดของแอตแลนติสที่เพลโตนำเสนอ จึงสรุปได้ว่า น่าจะเป็นการปรุงแต่งขึ้นจากความหายนะของอารยธรรมไมโนอัน
โดยการเพิ่มปริมาณของตัวเลข และทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไป
เพลโตไม่ใช่นักโบราณคดี
ยุคของเขายังไม่มีใครสนใจเรื่องความเที่ยงตรงทางประวัติศาสตร์
และเขาเขียนเรื่องแอตแลนติสขึ้นมา เพื่อรองรับปรัชญาของเขา
ดังนั้น เขาไม่จำเป็นต้องเคารพต่อข้อเท็จจริงนะครับ
บางที
เพลโตอาจมีแหล่งข้อมูลอื่นอีก นักวิชาการบางท่านชี้ว่า แอตแลนติส มีเนื้อหาบางส่วนที่ละม้ายคล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์ของ
สงครามเปโลโปนนีเชียน (πελοποννήσιος กรีกออกเสียงว่า
เปโลโปนีซีโอส) ที่เกิดขึ้นเมื่อ 431-404 ปีก่อนคริสต์กาลอีกด้วย
และเพราะฉะนั้น
อริสโตเติล ศิษย์ของเขา ก็คิดถูกนะครับ ที่ว่า แอตแลนติส
คืออาณาจักรนิยายที่ไม่มีตัวตน
แต่ถึงแม้ว่า
บทสรุปของแอตแลนติส จะเป็นเพียงอาณาจักรในจินตนาการของเพลโต
ที่ปรุงแต่งจากเรื่องจริงของอารยธรรมไมโนอันก็ตาม
จนถึงทุกวันนี้
ก็ยังคงมีฝรั่งและคนไทย ที่ชื่นชอบเรื่องลี้ลับ และไม่สนใจ update
ข้อมูลทางโบราณคดี
ยึดมั่นและเผยแพร่เรื่องราวของแอตแลนติสกันอย่างสม่ำเสมอนะครับ
ส่วนใหญ่จะพากันต่อยอดไปไกล
ถึงขนาดที่ว่า อารยธรรมโบราณหลายๆ แห่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์ เมโสโปเตเมีย ไปจนถึง
อินคา (Inca) มายา (Maya) และ อัซเต็ค (Aztec) ในอเมริกากลาง รวมทั้งสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์
ซึ่งนักโบราณคดียังไม่อาจหาบทสรุปได้อย่างแน่ชัด ในดินแดนต่างๆ ทั่วโลก ต่างก็เป็นมรดกจากชาวแอตแลนติสทั้งสิ้น
ครับ, เป็นการต่อยอดไปไกล ซึ่งจะไม่ใช่แนวความคิดที่ไร้สาระเลย
ถ้าพวกเขาจะไม่เริ่มจากพื้นฐานที่เลื่อนลอย อย่างแอตแลนติส
แต่เริ่มจากพื้นฐาน
ที่นักค้นคว้าด้านอารยธรรมโบราณของโลก ค้นพบ “ร่องรอย” ของเจ้าของ “มรดก” ที่ว่านั้น จากอีกอารยธรรมหนึ่ง
ซึ่งทำท่าจะเก่าแก่และมีตัวตนจริง มากกว่าแอตแลนติสของเพลโต
อารยธรรมนี้
ถูกเพ่งเล็งว่า อาจจะเคยมีอยู่ในทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งเป็นทวีปที่เคยมีความสมบูรณ์
มีมนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ในยุคก่อนน้ำแข็งละลายครั้งล่าสุด เมื่อราวๆ 12,000 ปีมาแล้ว
ปัญหาก็คือ
ด้วยเทคโนโลยีที่พวกเรามีอยู่ในขณะนี้
การขุดสำรวจทางโบราณคดีผ่านชั้นน้ำแข็งหนาเป็นไมล์ ที่ท่วมทับทวีปดังกล่าวอยู่
ยังเป็นไปไม่ได้ครับ
……………………………
หมายเหตุ :
เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย
และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
หน้าแตกระเบิดระเบ้อ ไปตามๆ กัน
ReplyDeleteศัตรูผมเพิ่มขึ้นอีกเพียบเลยครับ
Delete