สาวกเทพปกรณัมกรีก
ที่ชอบ Wonder Woman ฉบับ Gal Gadot
ผมว่าหลายคนต้องนึกถึง
เพนธีซิเลีย (Penthesilea/: Πενθεσίλεια) ราชินีแห่งชนเผ่าอเมซอน
(Amazon/ Αμαζόνα) กันบ้างละครับ
พระนางทรงเป็นธิดาของเทพเจ้าแห่งสงคราม
อารีส (Ares/ Άρης : พระนามโรมันว่า Mars) กับราชินี โอเทรรา (Otrera) ผู้ก่อตั้งชนเผ่าอเมซอน
ทรงเป็นพระธิดาองค์สุดท้อง
โดยมีทรงพระเชษฐภตินีได้แก่ ฮิพโพลิตา (Hippolyta/
Ιππόλυτα), อันติโอปี (Antiope/
Αντίπο) และ เมลานิพปี (Melanippe)
เล่ากันว่า
ในการล่ากวางครั้งหนึ่ง เพนธีซิเลียพุ่งหอกพลาดไปโดนฮิพโพลิตา
พระเชษฐภคินีพระองค์ใหญ่สิ้นพระชนม์ อุบัติเหตุครั้งนี้
ทำให้พระนางเสียพระทัยอย่างที่สุด และทรงปรารถนาที่จะตายตกไปตามกัน
แต่ในธรรมเนียมของอเมซอน
การฆ่าตัวตายนั้นเป็นเรื่องน่าอดสูครับ สาวอเมซอนจะต้องตายกลางสนามรบเท่านั้น
จึงจะเรียกได้ว่ามีเกียรติ
และเพนธีซิเลียก็ไม่ต้องเสียเวลารอนานนัก
เมื่อ อคิลลิส (Achilles/ Αχιλλεύς) ยอดขุนพลแห่งกรีก
ได้สังหาร เจ้าชายเฮ็คเตอร์ (Hector/ Έκτορας กรีกออกเสียงว่า
เอ็คโตราส) แห่งทรอย และย่ำยีพระศพของเจ้าชายด้วยการผูกติดกับรถศึก
ลากไปรอบกำแพงกรุงทรอย ก่อนจะกลับไปยังฐานที่มั่นฝ่ายตน
ด้วยความแค้นที่ ปาโตรคลุส
(Patroclus/
Πάτροκλος) เพื่อนรัก ถูกเฮ็คเตอร์สังหารก่อนหน้านั้นนั่นเอง
ความป่าเถื่อนของอคิลลีส
ทำให้เหล่าทหารทรอยหมดกำลังใจที่จะรบ
พระเจ้าไพรอัม
(Priam/
Πρίαμος กรีกออกเสียงว่า พรีอาโมส) กษัตริย์ผู้ทรงธรรม
พระบิดาของเจ้าชายเฮ็คเตอร์ ผู้ทรงสูญเสียมากที่สุด แต่ยังคงต้องปกป้องบ้านเมืองของพระองค์
จึงทรงขอความช่วยเหลือจากราชินีเพนธีซิเลีย
องค์ราชินีทรงตอบรับทันที
เพราะนอกจากทรงรอคอยที่จะสร้างวีรกรรมครั้งสุดท้ายในสนามรบอยู่แล้ว
ก็ยังทรงเกลียดชังอคิลลีส ทั้งจากชื่อเสียงแห่งความยะโสโอหังของเขา
และพฤติกรรมที่เขากระทำกับพระศพของเฮ็คเตอร์ด้วยครับ
พระนางจึงทรงนำนักรบหญิงอเมซอนจำนวนเพียงหยิบมือ
(ในตำนานว่าเพียง 12 คนเท่านั้น)
เข้าจู่โจมกองทัพกรีก ด้วยความรวดเร็วประดุจสายฟ้าแลบ ซึ่งเป็นศิลปะการรบแบบอเมซอน
เล่ากันว่า
วิทยายุทธของเพนซีซิเลียนั้น เด็ดชีพขุนศึกและทหารกรีกไปหลายศพ
แม้แต่ยอดฝีมือฝ่ายกรีกอย่าง อะแจ๊กซ์ (Τελαμονικός Ajax) ยังต่อกรไม่ไหวครับ
อคิลลีสจึงต้องออกมาเผชิญหน้ากับราชินีแห่งอเมซอน
ตำนานกรีกเล่าว่า
ทั้งสองต่อสู้กันอยู่นาน เกือบจะพอๆ กันกับการต่อสู้ระหว่างอคิลลีสกับเฮ็คเตอร์
ก่อนที่องค์ราชินีจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด
แต่ในบางตำนานก็ว่า
อคิลลีสไม่ต้องใช้เวลามากนักหรอกครับในการต่อสู้
เพียงพุ่งหอกครั้งเดียวด้วยกำลังมหาศาล หอกเล่มนั้นก็ทะลุทั้งม้าทรง
และพระอุระของราชินีแห่งอเมซอน
พระนางสิ้นพระชนม์กลางสนามรบ
ดังที่ตั้งพระทัยไว้
ส่วนทหารอเมซอนที่พระนางทรงนำไป
ก็ถูกทหารกรีกสังหารหมดสิ้นเช่นเดียวกัน
เมื่ออคิลลีสดึงหมวกเหล็กของพระนางออก
เขาถึงกับตกตะลึงที่เห็นว่าทรงเป็นสตรีเพศ และรู้สึกผิดที่ฆ่าผู้หญิง
และบางตำราก็ว่า
เขาหลงใหลในความงามของพระนาง จนนำพระศพกลับไปชื่นชมในที่พักของตน
แต่เรื่องนี้มีผู้วิจารณ์ว่า
บางทีก็อาจไม่ใช่ว่าหลงใหลอะไรนักหรอกนะครับ เพียงแต่ในฐานะนักรบ อคิลลีสชอบคู่ต่อสู้เก่งๆ และพอใจจะให้เกียรติด้วยการตกแต่งศพให้อย่างดี ก่อนจะทำพิธีเผามากกว่า
ทำไมคนคนเดียวกันนี้
ซึ่งกระทำย่ำยีพระศพของเจ้าชายเฮ็คเตอร์อย่างป่าเถื่อน
กลับให้เกียรติองค์ราชินีถึงเพียงนี้ได้?
คำตอบก็คือ
มันคนละบริบทกันน่ะครับ
กรณีของเฮ็คเตอร์
เป็นเพราะความแค้นที่ทรงสังหารเพื่อนรัก ที่เติบโตมาด้วยกัน
แต่กรณีของเพนธีซิเลีย
คือคู่ต่อสู้ที่เป็นหญิงเก่งมากๆ ซึ่งอคิลลีสไม่คาดหมายมาก่อนว่าจะได้มีโอกาสพบเจอในสมรภูมินี้
แต่การที่เขาปฏิบัติต่อพระศพเป็นอย่างดี
ก็ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในกองทัพกรีก เมื่อนายทหารกรีกคนหนึ่ง คือ เธร์ซิตีส
(Thersites/
Θέρσιτες) พูดจาเย้ยหยัน จนถูกอคิลลีสฆ่าตาย
ไดโอมีดีส
(Diomedes)
ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธร์ซิตีส โกรธมาก
จึงนำพระศพของเพนธีซิเลียพ่วงกับรถศึก
และลากไปเช่นเดียวกับที่อคิลลีสทำกับศพเฮ็คเตอร์
ซึ่งอคิลลีสก็ตามไปสังหารไดโอมีดีส
ชิงพระศพคืนมาทำพิธีถวายพระเพลิง และฝังพระอัฐิอย่างสมพระเกียรติ
การกระทำของอคิลลีส
ต่อเพนธีซิเลีย เป็นสิ่งที่ชาวกรีกประทับใจมาก ดังมีบันทึกไว้ว่า ณ
บัลลังก์ที่ประทับของ จอมเทพซีอุส (Zeus) ใน มหาเทวาลัยแห่งโอลิมเปีย
(Olympia) ซึ่งเป็นหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดแห่งโลกโบราณนั้น
มีการตกแต่งด้วยภาพเขียน ตอนอคิลลีสประคองพระศพของเพนธีซิเลียยู่ด้วย
ครับ, เรื่องราวของพระนางเพนธีซิเลีย ราชินีแห่งอเมซอนก็มีอยู่เพียงเท่านี้
ภาพข้างบนนี้ เป็น figure
model ของราชินีเพนธีซิเลีย ผมว่าเขาออกแบบโมเดลได้สวย
แต่พระพักตร์ไม่งามเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่ในตำนานนั้น ทรงพระสิริโฉมมาก
ต่อไปนี้ ผมก็จะขอพูดถึงชนเผ่าอเมซอนแบบจัดเต็มละครับ
แต่ก่อนจะเข้าสู่สาระสำคัญ
ขอพูดเรื่องชื่อของชนเผ่านี้ก่อน
คือชื่อของชนเผ่านี้
เป็นภาษากรีก ซึ่งออกเสียงว่า อมาโซนา
ฝรั่งรุ่นเก่า โดยเฉพาะชาวอังกฤษ
ออกเสียงว่า อะเมซเซิน
ไทยเราจึงทับสัพท์คำนี้ตามเสียงอังกฤษว่า
อเมซอน ไงครับ
แล้วก็ใช้อย่างนี้กันมาเป็นสิบเป็นร้อยปั
จนกระทั่งพวกเราได้ยืนฝรั่งรุ่นใหม่ โดยเฉพาะอเมริกัน ออกเสียงคำนี้ว่า แอมะซอน
(เสียงจริง : แอมะเซิน)
ราชบัณฑิตยสถาน (ซึ่งทำภาษาวิบัติไปเป็นอันมากตลอด
20
ปีที่ผ่านมา) และสื่อไทยรุ่นใหม่ ซึ่งมี National Geographic
ภาคภาษาไทย เป็นตัวนำ ก็เลยทับศัพท์คำนี้ว่า แอมะซอน กันไปหมด
ทั้งชื่อชนเผ่า
ชื่อแม่น้ำ และป่าดงดิบในอเมริกาใต้
เขียนก็ไม่สวย
อ่านก็ไม่เพราะ
แต่คนรุ่นใหม่ของเราก็ก้มหน้าก้มตา
ยอมเป็นทาสทางปัญญาของฝรั่งไร้ราก ที่เผยแพร่วัฒนธรรมอุบาทว์ต่างๆ นานาไปทั่วโลก
ละทิ้งอักขรวิธี ที่คนรุ่นปู่ย่าตายายของเราสืบทอดจากฝรั่งที่ได้รับการยกย่องว่ามีวัฒนธรรมอันสูงส่ง
ทั้งๆ ที่ของใหม่ก็ไม่ได้ดีกว่าเลยซัดนิด
ครับ, ใครว่าของเก่าเชย แล้วของใหม่บ้าๆ บอๆ ดูทันสมัยก็แล้วแต่ใจ
ผมขอยึดมั่นของเก่าครับ เพราะอย่างน้อย คนรุ่นโน้นก็ฉลาดกว่าคนรุ่นนี้
ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องกันซักทีละครับ
อเมซอน
เป็นตำนานเล่าขานกันในหมู่ชาวกรีกโบราณ ว่าเป็นเผ่านักรบหญิงที่ทรงพลัง
และมีทักษะการรบที่เก่งกาจไม่แพ้ผู้ชาย โดยเฉพาะการรบบนหลังม้า ไม่ว่าจะเป็นยิงธนู
และการใช้หอก
พวกเธอมีส่วนร่วมอยู่ในตำนานสงครามกรีก
เช่น ใน มหากาพย์อีเลียด (Ιλιάδα) ที่องค์ราชินีเพนธีซิเลียและนักรบอเมซอนอีก
12 คน ได้ประมือกับขุนศึกและทหารกรีก
ก่อนที่พระนางจะสิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือวีรบุรุษอคิลลีสไงครับ
หรือแม้แต่ในตำนานของจอมพลัง
เฮอร์คิวลีส (Hercules/Ηρακλής กรีกออกเสียงว่า
อิราครีส) ก็มีเรื่องราวของชาวอเมซอนรวมอยู่ด้วย
แต่เรื่องราวของชนเผ่าอเมซอน
ที่เล่าขานต่อๆ กันมา มักสับสนปนเประหว่างเรื่องจริงกับเรื่องแต่ง
จนไม่มีใครแยกออกได้
เรื่องหนึ่งก็คือ
การเมืองการปกครอง และวิถีชีวิตของชาวอเมซอน ที่เพศหญิงเป็นใหญ่ที่สุดครับ
ว่ากันว่า สาวๆ
อเมซอนทุกคนถูกฝึกให้ชินกับความลำบาก มาตั้งแต่ยังแบเบาะ ขนาดนมแม่ก็ยังไม่ได้กิน
ต้องกิน นมม้า นะครับ
เพราะ ม้า
คือวิถีชีวิตของชาวอเมซอน พวกเธอจะต้องหัดขี่ม้าตั้งแต่เด็กๆ
พอรุ่นสาวขึ้นมาก็ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้าได้คล่องแคล่ว
ราวกับม้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเลยครับ
นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่า
อเมซอนเป็นพวกแรกที่เอาม้ามาเป็นพาหนะด้วยซ้ำไป
หรืออย่างน้อยก็เป็นพวกแรกที่นำม้ามาใช้ในการรบอย่างเต็มรูปแบบ
แถมสาวอเมซอนยังได้รับเครดิตว่า
เป็นพวกแรกที่คิดทำบังเหียนกับสเปอร์ (เดือยรองเท้าสำหรับสะกิดให้ม้าวิ่ง)
ด้วยนะครับ
แต่จริงๆ แล้ว
ม้าศึกของอเมซอนจะถูกใส่เครื่องม้าน้อยมาก เพื่อความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว
เชื่อกันว่ากรีกโบราณยุคแรกๆ ต้องเลียนแบบชาวอเมซอนนะครับ ในเรื่องการฝึกทหารม้า
นอกจากการคลุกคลีกับม้า
และการเคี่ยวกรำให้เคยชินกัยความยากลำบากมาตั้งแต่ยังเด็ก สาวอเมซอนคนไหนโตขึ้นมา
แล้วสามารถที่จะฝึกการต่อสู้ได้ ก็จะกลายเป็นนักรบของเผ่าต่อไป
ส่วนคนที่ไม่มีทักษะพอที่จะฝึกให้เป็นนักรบ
ก็ทำหน้าที่ปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ เก็บของป่า เพื่อใช้เป็นอาหารกินกันในเผ่า
ความห้าวหาญของนักรบหญิงแห่งอเมซอน
ยังทำให้เกิดเรื่องที่เล่ากันอย่างกว้างขวางว่า พวกเธอจะต้องตัดเต้านมออกข้างหนึ่ง
เพื่อจะได้ไม่เกะกะเวลาง้างธนู หรือขว้างหอก
อย่างในตำนานของราชินีเพนธีซิเลีย
ก็ถึงกับมีบางกระแสเล่าว่า พระนางตัดพระถันออกทั้งสองข้างเลยนะครับ
ก็ไม่รู้ว่า
คนปล่อย และเชื่อข่าวลือแบบนี้เอาอะไรคิด
และถ้าราชินีเพนธีซิเลียทำอย่างนั้นจริง
อคิลลีสจะลุ่มหลงเข้าไปได้อย่างไร
นักวิชาการเองก็บอกว่า
เรื่องนี้คงเป็นการเล่าลือกันไปตามความฟุ้งฝัน+เหยียดสตรีเพศ ของนักเล่านิทานกรีก
เท่านั้นแหละครับ ไม่ใช่อะไรอื่น
เพราะไม่มีหลักฐานอะไรรองรับ
นอกจากคำกล่างอ้างของบุคคล ในภาพวาดโบราณก็ไม่เคยมีอะไรแบบนั้นถูกบันทึกไว้ด้วยซ้ำไป
และเหตุผลที่อ้างก็ไม่เข้าท่าด้วย
ความเชื่อดังกล่าว
อาจจะมาจากชุดศึกของพวกเธอ ที่สวมเสื้อเกราะทำจากหนังสัตว์แบบเปลือยไหล่ข้างหนึ่ง
ซึ่งนักรบกรีกโบราณก็มีเสื้อเกราะชนิดเดียวกันนี้ใช้เหมือนกัน
เสื้อชนิดนี้ทำให้คล่องตัวเวลาต่อสู้ครับ
แต่ถ้าฉีกขาด หรือตัดไม่พอดีตัวผู้สวม เมื่อรบไปนานๆ
ก็อาจจะทำให้เกิดการเปลือยอกเพียงข้างเดียวได้
อีกเรื่องที่นิยมเล่ากันเกี่ยวกับชาวอเมซอน
คือพวกเธอต้องดำรงพรหมจรรย์ไว้จนแทบจะพ้นวัยสาว
จึงค่อยออกไปสมสู่กับบุรุษเพศจากต่างเผ่า เพื่อการมีลูกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ไม่มีพิธีการแต่งงาน
หรือการใช้ชีวิตแบบครอบครัวใดๆ ทั้งสิ้น
และหากได้ลูกสาว
ก็จะเลี้ยงไว้ในเผ่า
แต่หากได้ลูกชาย
บ้างก็เล่าว่าเด็กมักจะถูกฆ่าทิ้งเสีย ไม่ก็ทำให้พิการ จะได้ออกรบไม่ได้
บ้างก็ว่าพวกเธอจะส่งกลับไปให้ทางพ่อเป็นฝ่ายเลี้ยงแทน
ซึ่งอย่างหลัง
นักวิชาการมองว่า ดูจะมีเค้าความจริงมากที่สุดครับ
และเหมือนกับธรรมเนียมโบราณของชาว
Nomadic
ที่มักจะส่งลูกชายไปให้เผ่าอื่นเป็นผู้เลี้ยง
เพื่อเป็นการผูกสัมพันธไมตรี และเพื่อป้องกันการสืบสกุลในหมู่สายเลือดเดียวกัน
ในตำนานกล่าวว่า
เกาะที่เป็นที่อยู่ของชาวอเมซอน อยู่ทางตอนใต้ของทะเลดำ ถ้าใครเคยอ่านเรื่อง The
Argonauts หรือ อภินิหารขนแกะทองคำ มันคือเกาะที่เรียกว่า เกาะแห่งอารีส
(Island of Ares) นั่นเอง
ซึ่งเกาะดังกล่าวนี้
มีอยู่จริงครับ ปัจจุบันนี้มันคือเกาะ Giresun Island ของตุรกี
อย่างไรก็ตาม
ในการขุดค้นทางโบราณคดีบนเกาะ แม้จะได้พบซากโบราณสถาน
ก็ยังไม่เห็นความเชื่อมโยงกับชนเผ่าอเมซอนในตำนาน
เพราะซากโบราณสถานเหล่านั้น
จัดอยู่ในวัฒนธรรมไบแซนไทน์ (Byzantine) และมีอายุเก่าที่สุดเพียง
400 ปีก่อนคริสตกาลเท่านั้นครับ
ในขณะที่นักโบราณคดีบางท่าน
ก็สันนิษฐานว่า น่าจะเคยมีเผ่านักล่าสัตว์เร่ร่อน ที่มีสตรีเป็นใหญ่
และเป็นนักรบอยู่แถวทวีปแอฟริกาเหนือ กับบริเวณทุ่งหญ้าสเตปป์รอบๆ ทะเลดำ
โดยเฉพาะทางตะวันตกเฉียงเหนือ
บริเวณยุโรปตะวันออกในปัจจุบัน
แต่เพราะความเป็นชนเผ่าเร่ร่อน
จึงทำให้ไม่มีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี ไม่ว่าจะเป็นซากอาคารบ้านเรือน
หรือแม้แต่สุสานของชนเผ่านี้ ที่จะนำมาอ้างอิงใดๆ ได้เลย
บรรดาสุสานโบราณที่มีอยู่ประปรายในพื้นที่ดังกล่าว
ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถระบุได้อยางแน่นอนว่า เป็นของชนเผ่าใดบ้างด้วยซ้ำ
และชนเผ่าเร่ร่อน
ที่มีสตรีเป็นใหญ่นี้ จะเรียกตัวเองว่าอะไร ก็ไม่มีหลักฐานเช่นกันครับ
เรารู้จักพวกเธอ
(หรือพวกเขา) เพียงในชื่อ อเมซอน ซึ่งเป็นคำที่ชาวกรีกโบราณคิดขึ้นมาเท่านั้น
ส่วนคำว่า อเมซอน
ซึ่งเป็นชื่อแม่น้ำและป่าดงดิบในทวีปอเมริกาใต้ ไม่เกี่ยวอะไรกับชนเผ่านี้หรอกครัย
เป็นเพียงชื่อที่นักล่าอาณานิคมสเปน
ซึ่งเข้าไปสำรวจเมื่อราว 500 ปีก่อนโน้นเป็นผู้ตั้งให้
โดยเหตุที่พวกนี้คุ้นเคยกับตำนานกรีกและโรมัน เท่านั้นเอง
……………………………
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด