เนื่องจากทุกวันนี้
หนังสือ อติเทวปกรณ์ กลายเป็นหนังสือที่หาซื้อได้ยาก มิได้วางขายทั่วไป
ผมจึงนำสาระสำคัญต่างๆ
จากหนังสือดังกล่าว มาโพสต์ใน blog นี้
และจะทยอยนำมาเรื่อยๆ ครับ
ซึ่งแต่ละบทความ
ก็จะมีการ update ช้อมูล
ตัดส่วนที่ล้าสมัยและไม่จำเป็นออกไป
ท่านที่หาซื้อหนังสือไม่ได้
จะได้มีแนวทางไว้อ้างอิง ไม่ต้องเสียเวลากับพวกเกจิมั่ว และผู้วิเศษลวงโลก
ที่เอาหนังสือผมไปดัดแปลงใช้กันผิดๆ
ผมเอามาเผยแพร่ให้ใช้กันฟรีๆ
เป็นธรรมทาน ก็โปรดนำไปใช้กันด้วยความสุจริตนะครับ
ถ้าจะนำไปเผยแพร่ต่อ
ก็อย่าลืมใส่ URL ของบทความ
ตามเงื่อนไขข้างล่าง ท้ายบทความ
URL นะครับ
ไม่ใช่บอกแค่ชื่อบทความแบบมักง่าย แล้วไม่บอกที่มาที่ไป
เอาละครับ
ทีนี้ก็มาดูข้อมูลทางเทววิทยา ของพระเป็นเจ้าทั้งสององค์
นอกเหนือไปจากที่ผมเคยโพสต์ใน blog นี้
ว่ายังมีอะไรที่ควรรู้เพิ่มเติมอีกบ้าง
ส่วนวิธีการบูชา
ได้ไพสต์ไปแล้วใน ครับ
พระนามของจอมเทพโอดิน
ที่เราคุ้นเคยกันนี้ ว่ากันว่า มาจากพระนามของเทพ โวทัน (Wotan)
ซึ่งเป็นเทพเก่าแก่ของชนเผ่าเยอรมันนิค
ก่อนอารยธรรมของชาวนอร์สจะเด่นชัดขึ้นในประวัติศาสตร์
และบางตำราก็ว่า
เทพองค์นี้ทรงเป็นภาคดุร้ายของจอมเทพโอดินนั่นเอง
เพราะเทพโวทันนั้น
ทรงเป็นเทพแห่งสงคราม การล่าสัตว์ และเป็นนายแห่งความโกรธ
ทรงปราศจากซึ่งคุณธรรมทั้งปวง และสนพระทัยอยู่เฉพาะกับเรื่องของการรบราฆ่าฟัน
และกีฬากระหายเลือดเท่านั้น
จนถึงขนาดที่ว่า
ถ้าไม่มีสงคราม เทพองค์นี้ก็จะทรงกระทำทุกวิถีทางที่จะให้มันเกิดขึ้น
ไม่เช่นนั้น
พระองค์ก็ต้องทรงใช้เวลาไปกับการเที่ยวล่าสัตว์ เพื่อจะได้สำราญพระทัย
กับความตกใจกลัวของกวางที่กำลังหนีตาย
เทพโวทันมักปรากฏพระองค์พร้อมหอกคู่พระทัย
เช่นเดียวกับจอมเทพโอดินเสมอ
การที่เทพผู้กระหายเลือดองค์นี้
ทรงเปลี่ยนบุคลิกภาพมาเป็นจอมเทพผู้คงแก่เรียน และถือคุณธรรมเป็นใหญ่
เป็นสิ่งที่นักเทววิทยาสแกนดิเนเวียส่วนมากยังไม่พบหนทางที่จะอธิบายได้กระจ่างแจ้งครับ
แต่โดยพระนามของเทพองค์นี้
ซึ่งอาจเขียนว่า Wodan หรือ Woden และคุณสมบัติหลายประการ
ก็เป็นเครื่องยืนยันถึงความเกี่ยวข้องกับจอมเทพโอดินอย่างแน่นอน
แม้ว่าผู้บูชาจอมเทพโอดิน จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายใดๆ ของพระองค์เลยก็ตาม
แต่ถึงแม้จะไม่โหดร้าย
จอมเทพโอดินก็ทรงเป็นเทพที่เงียบขรึมและดุ
เป็นที่รู้กันดีว่าพระองค์รับสั่งน้อย และไม่ตรัสสิ่งใดเล่นๆ
จะตรัสเฉพาะเรื่องที่สำคัญหรือเป็นงานเป็นการเท่านั้น
และพระองค์ก็ไม่เคยทรงพระสรวลด้วย
ว่ากันว่าแม้กับผู้บูชา
พระเป็นเจ้าองค์นี้ก็ทรงวางพระองค์ห่างเหิน และเข้าถึงได้ยากทีเดียว
แต่ก็ช่วยไม่ได้หรอกครับ ที่ผู้ทรงภูมิมักจะมีลักษณะเช่นนี้
ทิพยปราสาทที่ประทับของจอมเทพโอดินในอัสการ์ด
ซึ่งมีนามว่า กลัดส์ไฮม์ (Gladsheim) นั้น
นับว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่วิจิตรตระการตาอย่างแท้จริง
ภายในประกอบด้วยท้องพระโรง
มีเทวบัลลังก์ของจอมเทพโอดินเป็นประธาน ชื่อว่า ลีดสเคียลฟ์ (Lidskialff)
ทำด้วยทองคำ และยังมีเทวบัลลังก์อีก 12 องค์
สำหรับคณะเทพชั้นผู้ใหญ่แห่งอัสการ์ดประชุมร่วมกัน ด้านหน้ามหาปราสาทกลัดส์ไฮม์
มีอุทยานเขียวขจีขนาดใหญ่ เรียกว่า อีดา (Ida)
จอมเทพโอดินทรงครอบครองของวิเศษหลายอย่าง
ที่สำคัญที่สุดคือ หอกวิเศษกูงเนียร์ (Gungnir) ที่ทรงใช้ในการล่าวิญญาณวีรชน
หรือ ไอน์แฮร์ยาร์ (Einherjar)
ซึ่งการล่าวิญญาณนี้
ฝรั่งนิยมใช้คำว่า The
Wild Hunt ครับ
ว่ากันว่า
จอมเทพโอดินจะทรงได้ใช้หอกกูงเนียร์เป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อถึงวันมหาวิบัติรัคนาเริ้ค ซึ่งมันก็ไม่ช่วยให้พระองค์ทรงรอดพ้นจากคมเขี้ยวกับพญาสุนัขป่าเฟนเรียร์ได้
จอมเทพโอดิน ยังทรงมี
คฑาสลักอักษรรูนส์ อีกด้ามหนึ่งด้วย
ซึ่งเมื่อพระองค์จำแลงพระกายสัญจรไปในมิดการ์ด คฑานี้จะกลายเป็นไม้เท้า
ในเทพนิยายต่างๆ
มักกล่าวว่า ทรงใช้เวทมนต์ผ่านคฑานี้ เช่นตอนที่ทำให้เจ้าหญิงรีนดา (Rinda)
สลบ ก่อนที่จะปลอมตัวครั้งสุดท้ายเป็นหญิงชรา
อาสาเข้าไปช่วยเหลือพระนาง
นอกเหนือไปจากนี้
ยังมีของวิเศษอีกอย่างหนี่ง ที่จอมเทพโอดินทรงครอบครอง คือ แหวนเดราพ์เนียร์ (Draupnir)
มันเป็นแหวนแห่งความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวย ซึ่งทุกๆ 7 วันมันจะอันตรธานไปแล้วชุบตัวเองขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ดูใหม่อยู่เสมอ
จอมเทพโอดินทรงมีอีกาสีดำสนิทคู่หนึ่ง
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์ มีชื่อว่า ฮูกีน (Hugin)
แปลว่า “ความคิด” และ มูนีน (Munin) แปลว่า “ความจำ”
อีกาสองตัวนี้มีหน้าที่บินไปทั่วโลก
เพื่อนำข่าวสารและเหตุการณ์ความเป็นไปต่างๆ กลับมารายงานพระองค์
พระองค์จึงทรงได้รับการกล่าวขวัญว่าทรงล่วงรู้ทุกสิ่ง
และไม่มีอะไรที่จะหลบรอดสายพระเนตรของพระองค์ได้
ในวัฒนธรรมยุโรปเหนือ
การเห็นอีกาสีดำสองตัวก็ถือว่าเป็นโชคดี หรือแสดงถึงข่าวสารจากสวรรค์
ชาวไวกิ้งถือเอาสิ่งนี้เป็นนิมิตในการยกทัพเข้าโจมตีข้าศึก และน่าสังเกตว่า
ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง
ส่วนในทางเทวปรัชญา
ก็อาจหมายถึงคุณสมบัติที่นักปราชญ์จำเป็นต้องมี
และต้องมีอย่างรอบด้านและหลากหลายอยู่เสมอ เข้าทำนองรู้มากเห็นมาก และต้องจำได้มาก
จึงจะสังเคราะห์กระบวนความคิดได้เฉียบคมที่สุด
จอมเทพโอดินไม่เพียงทรงเลี้ยงอีกาเท่านั้น
ยังทรงโปรดปรานสุนัขป่ามาก ทรงมีสุนัขป่าที่มีขนสีเงินสวยอยู่คู่หนึ่ง
ซึ่งจะนั่งอยู่แทบพระบาทในงานเลี้ยงที่วัลฮัลลาเสมอ
สุนัขป่าคู่นี้มีชื่อว่า
เกรี (Geri) และ เฟรคี (Freki) พวกมันจะคอยกินอาหารที่มีผู้นำมาถวาย
เพราะองค์เทพบดีไม่โปรดเสวยสิ่งใดมากนัก นอกจาก เหล้าน้ำผึ้ง (Mead)
ในการท่องเที่ยวไปในโลก
จอมเทพโอดินมักจะเสด็จพระดำเนินไปด้วยพระบาท
แต่แต่เมื่อเสด็จนำกองทัพวัลเคียร์สออกล่าวิญญาณวีรชน พาหนะที่ทรงใช้เสมอคือม้า สไลพ์เนียร์
(Sleipnir)
ฃี่งผมพูดถีงที่มาที่ไปของเจ้าม้าตัวนี้ไปแล้วนะครับใน https://runesdivinator.blogspot.com/2018/08/blog-post.html
ม้าวิเศษนี้มีถึง 8 ขา ทำให้มันวิ่งเร็วยิ่งกว่าม้าวิเศษใดๆ ในโลกทั้งเก้า
ชาวแองโกล-แซกซัน
ได้กำหนดให้วันพุธเป็นวันของจอมเทพโอดิน เรียกว่า Wednesday โดยมีที่มาจากคำว่า Wodnesdaeg ในภาษานอร์สนั่นเอง
การกำหนดเช่นนี้
มีพื้นฐานอยู่มาจากความรู้ทางโหราศาสตร์
เพราะดาวพุธเป็นดาวนักปราชญ์หรือดาวแห่งสติปัญญา ไหวพริบปฏิภาณ ความรอบรู้
การประพันธ์ การทูต การเจรจา การอภิปรายหรือการปาฐกถา การทำนายทายทักและการเดินทาง
แต่ก็มีลักษณะของความไม่แน่นอนอยู่ด้วย
ซึ่งก็ตรงกับคุณสมบัติของจอมเทพโอดินทุกประการ
แด่ก็ไม่ได้หมายความว่า
พระองค์ทรงเป็น บุคลาธิษฐาน (Personification) ของดาวพุธ อย่างพระพุธของโหราศาสตร์อืนเดีย-ไทยนะครับ
เพียงแต่ทรงมีบุคลิกภาพ และคุณสมบัติที่ตรงกันเท่านั้น
เมื่อกล่าวถึงการพยากรณ์แล้ว
เราก็จะเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างจอมเทพโอดินกับศาสตร์นี้อย่างชัดแจ้ง
นั่นคือ
ในไพ่ยิปซีหรือไพ่ทาโรต์ (Tarot) ทุกสำรับที่เป็นมาตรฐานนั้น
จะมีไพ่ใบหนึ่งในชุด เมเจอร์ อาร์คานา (Major Arcana) ที่มีหน้าไพ่เป็นรูปคนถูกแขวนกับต้นไม้ ห้อยศีรษะลง ไพ่ใบนี้เรียกว่า The
Hanged Man ความหมายโดยย่อก็คือช่วงเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง
ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งไพ่ทาโรต์เห็นพ้องกันว่า
หน้าไพ่ดังกล่าวนี้ ได้จากเรื่องราวของจอมเทพโอดินตอนที่ทรงบูชายัญพระองค์เองกับพฤกษาโลกนั่นเอง
ปัจจุบันนี้
ไพ่ทาโรต์มีการออกแบบหน้าไพ่ที่หลากหลายมาก เป็นร้อยเป็นพันแบบเพื่อการสะสม
และถ้าเป็นสำรับที่ออกแบบโดยใช้เทวปกรณ์อาซาทรูเป็นแนวทางหลัก
เช่น
The
Norse Tarot ของ คลีฟ
บาร์เร็ต (Clive Barrett) และ Vikings Tarot ของ มันเฟรดี โตรัลโด
(Manfredi Toraldo) นั้น
ไม่เพียงแต่จะบรรยายถึงจอมเทพโอดินอย่างตรงไปตรงมา ในไพ่ The Hanged Man เท่านั้น ยังนำไปใช้ในหน้าไพ่ The Magician ซึ่งหมายถึงผู้วิเศษ
และ The Hierophant ซึ่งหมายถึงนักบวชอีกด้วย
ความเกี่ยวข้องระหว่างจอมเทพโอดินกับการพยากรณ์อีกอย่างหนึ่ง
ก็คือการที่ทรงเป็นผู้คิดค้นอักษรรูนส์ ดังที่เราทราบกันแล้วนะครับ
และในบรรดาอักษรรูนส์ทั้งหมดนั้น
ก็มีอักษรที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์โดยตรง คืออักษร A มีชื่อเรียกในภาษายุโรปโบราณว่า อันเซอร์ (Ansur) หรือ อันซุซ (Ansuz) ภาษานอร์สโบราณเรียกว่า ออสส์
(Ass) ซึ่งหมายถึงเทพเจ้า บรรพชน สายลม หรือลมหายใจก็ได้
คำนี้เป็นรากศัพท์ของคำว่า Asgard ซึ่งภาษาสเวนสคาออกเสียงว่า
ออสกวร์ด นั่นเอง
เมื่อมีการนำอักษรรูนส์มาประดิษฐ์เป็นไพ่พยากรณ์เช่นเดียวกับไพ่ทาโรต์
หน้าไพ่ประจำอักขระ A จึงมักบรรยายถึงจอมเทพโอดินโดยตรง
เช่นไพ่รูนส์ชุด The Power of the Runes ของ โธมัส
เฟอเมล (Thomas Vömel) อันเป็นไพ่รูนส์สำรับที่ดีที่สุดในขณะนี้
โธมัสไม่เพียงแต่จะใช้รูปจอมเทพโอดินในหน้าไพ่ประจำอักขระดังกล่าวเท่านั้น
ยังใช้ในอักขระ E (Ehwaz) และ D (Dagaz)
อีกทั้งยังใช้เป็นภาพหน้ากล่องของไพ่ทั้งสำรับด้วย
นับว่าเป็นไพ่ที่น่ามีไว้ครอบครองสำหรับผู้ศึกษาเรื่องของจอมเทพโอดินและรูนส์ทุกคน
ในทางเทววิทยา
เครื่องหอมและน้ำมันหอมระเหยที่สัมพันธ์กับจอมเทพโอดินคือ Cedarwood,
Pine, Dragon’s Blood และ Sandalwood
สมุนไพรที่สัมพันธ์กับพระองค์คือ
Polybody,
Fern, Maidenhair, Mandrake, Marjoram, Valerian, Beech และ Yew
อัญมณี
และหินมีค่าที่สัมพันธ์กับพระองค์คือ มรกต (Emerald) โอนิกซ์ (Onyx) นิล (Jet) โมรา (Agate)
และ คาร์เนเลียน (Carnelian)
โลหะที่สัมพันธ์กับพระองค์คือ
อัลลอยด์ ตะกั่ว และทองคำ
มหาเทวีเฟรยา
ทรงมีพระสมัญญานามที่เรียกกันในภาษานอร์สโบราณว่า วานาดีส (Vanadis)
หมายถึงเ “เทพนารีเผ่าวาเนียร์”
คำว่า ดีส (Dis) ตามภาษานอร์สโบราณหมายถึง
เทพนารี (Goddess)
นอกจากนี้ก็ทรงมีพระนามอื่น
เช่น โฟรเว (Frowe) หรือที่ สนอร์รี
สเตอร์ลูสซัน ออกพระนามในงานนิพนธ์ของเขาว่า มาร์ดอลล์ (Mardoll)
ส่วนพระนาม Freya
ที่เราคุ้นเคยกันอยู่นี้ ยังเขียนต่างๆ กันไปได้อีกหลายแบบ
แล้วแต่ว่าจะใช้ภาษาใดในการเขียน
แต่ทั้งหมดล้วนมีความหมายว่า
Lady
โดยเฉพาะพระนาม Frowe ยังเป็นต้นเค้าของคำว่า
ผู้หญิง ในภาษาเยอรมัน คือคำว่า เฟรา (Frau)
กล่าวสำหรับเทวลักษณะของมหาเทวีเฟรยา
ในจินตนาการของคนส่วนใหญ่นั้น
ดูจะไม่ค่อยทรงพระสิริโฉมเลอเลิศอย่างเทพนารีกรีก-โรมัน
แม้ว่าพระนางจะทรงเป็นเทวีผู้งดงามที่สุดในอัสการ์ดก็ตาม
นั่นก็เพราะว่า
สตรีชาวนอร์สในสมัยโบราณที่มีฝีมือในทางรบทัพจับศึก มักจะมีร่างกายสูงใหญ่แข็งแรง
มีกล้ามเนื้อ เนื่องจากต้องใช้ดาบ หอก และโล่ ซึ่งมีน้ำหนักมาก
นักรบหญิงเหล่านี้ถ้าจะสวยก็สวยแบบดุๆ หาความอ่อนหวานไม่ได้
แต่เทวลักษณะอันแท้จริงของมหาเทวีเฟรยา
กลับไม่เป็นไปตามที่กล่าวมานี้หรอกครับ
เพราะทิพยรูปของพระนาง
ตามที่มีผู้พบเห็นมาแล้ว และสอบทานได้ตรงกัน
พระนางเป็นเทพนารีที่งดงามเฉิดฉายอย่างยิ่ง พระเนตรสีฟ้าสดใส
พระเกศาสีทองเป็นประกาย บุคลิกภาพโดยทั่วไปแลดูอ่อนหวานและเย้ายวนยิ่งนัก
พระวรกายก็ค่อนข้างบอบบาง มิได้แสดงถึงความแข็งแกร่ง
มีพละกำลังทัดเทียมบุรุษแต่ประการใด
ที่เป็นเช่นนี้
ก็ด้วยเหตุที่ว่าเมื่อทรงเป็นเทพแล้ว ย่อมไม่ต้องทรงใช้กล้ามเนื้อ
และกำลังในการหยิบจับอาวุธต่างๆ อย่างชาวมนุษย์นั่นเอง
และสิ่งใดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเทพอาวุธ
ก็ย่อมไม่สร้างความลำบากให้แก่ผู้ครอบครอง ในการที่จะใช้มันเสมอ
พระนางทรงมีพระรูปงดงาม
และพระนางก็ทรงรักสวยรักงาม ทรงโปรดปรานเครื่องหอม และแพรพรรณอันประณีต
มักฉลองพระองค์ด้วยผ้าที่ถักทออย่างวิจิตร ด้วยสีแดงและทอง
แต่สำหรับฉลองพระองค์ที่ใช้เมือสวมเกราะ มักเนสีน้ำเงินกับผ้าคลุมดำ
และนอกจากสร้อยบรีซิงกาเมนแล้ว
ก็ทรงมีเครื่องถนิมพิมพาภรณ์อีกหลายอย่าง แต่พระภูษาทรงนั้น
ในทางศิลปะมักสวมเพียงน้อยชิ้นเพื่ออวดพระสิริโฉม
และเมื่อเป็นภาดที่ทรงอยู่ในที่ประทับ มักไม่ฉลองพระองค์
แต่ในอีกแง่หนึ่ง
พระนางก็ทรงมีพลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัว
เพราะพระนางทรงเป็นเทวีแห่งเวทมนต์และมายาศาสตร์
กล่าวกันว่า เมื่ออยู่ในฐานะนี้
พระนางจะฉลองพระองค์ด้วยผ้าคลุมสีดำสนิทหรือสีน้ำตาลเข้ม ทรงถือไม้เท้า
หรือคฑาแห่งเวทมนต์ และมักมีแมวดำตัวหนึ่งอยู่ใกล้ๆ เสมอ
พลังมนตราของพระนางนั้น
อยู่เหนือกว่าเทพเจ้าและยักษ์ทั้งปวง ไม่มีคาถาอาคมใดๆ ในโลกทั้งเก้า ที่จะครอบงำ
หรือทำอันตรายพระนางได้
แม้แต่จอมขมังเวทย์อย่างโลคีก็ยังต้องใช้ความอุตสาหะอย่างถึงที่สุด
เพื่อจะขโมยสร้อยพระศอของพระนาง
ศิลปะการใช้เวทมนต์
ที่มหาเทวีเฟรยาทรงครอบครองอยู่นั้น เรียกว่า ซีเธอร์ (Seidhr)
เป็นมายาศาสตร์ที่ถ่ายทอดกันในหมู่ผู้ใช้เวทมนต์ที่เป็นสตรี ดังนั้น
มหาเทวีเฟรยาจึงได้รับการบูชาในฐานะขององค์อุปถัมภ์
และคุ้มครองผู้หญิงที่ใช้ไสยเวท และมนตราทั้งปวง
และด้วยทิพยฐานะ
ของการเป็นเทวีแห่งเวทมนต์นี้เอง ที่ทำให้จอมเทพโอดินทรงตัดสินว่า
พระนางทรงเป็นเสมือนของขวัญอันเลอค่าที่สุด ที่อัสการ์ดได้รับจากวานาไฮม์
พระนางกลายเป็นที่โปรดปรานของจอมเทพมาก
ทรงให้เข้าเฝ้า เพื่อถวายความรู้ในด้านมายาศาสตร์แก่พระองค์อยู่เสมอ
และพระนางก็ทรงถ่ายทอดทุกสิ่งที่พระนางรู้อย่างไม่ปิดบัง
รวมทั้งยังได้ทรงสนองเทวโองการของจอมเทพ
ในการเผยแผ่ควาบมรู้ในเรื่องเหล่านี้แก่เหล่ามนุษย์ในมิดการ์ดด้วย
เพราะเหตุนี้
จอมเทพโอดิน ผู้ทรงเห็นความสำคัญของความรู้ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
จึงประทานสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดสิ่งหนึ่งในอัสการ์ดเ ป็นการตอบแทนแด่พระนาง
นั่นคือ
ตำแหน่งนางพญาแห่งวัลคึรึส์
มหาเทวีผู้ทรงสิทธิ์ขาดในการบังคับบัญชากองทัพนางฟ้าแห่งสงครามของพระองค์
เพราะฉะนั้น
นอกจากเทวีแห่งความงาม ความอุดมสมบูรณ์ และเวทมนต์คาถา
พระเทวีเฟรยาก็ทรงมีอีกบทบาทหนึ่งคือนางพญายม ผู้คัดเลือกดวงวิญญาณเหล่านักรบ
กล่าวอย่างง่ายที่สุดก็คือ
ทรงมีอำนาจเต็มในการพิพากษาว่าใครควรจะอยู่หรือควรจะตายนั่นเอง
ตำแหน่งนางพญาแห่งวัลคีรีส์นี้
ยังทำให้พระนางทรงได้รับสิทธิ์ในการแบ่งดวงวิญญาณไอน์แฮร์ยาร์ถึงครึ่งหนึ่ง
จากทั้งหมดที่ได้จากการรบแต่ละครั้ง เพื่อนำไปฝึกฝนการใช้ไสยเวทมนตราเป็นพิเศษ ณ
ที่ประทับของพระนางด้วย
สิทธิพิเศษเช่นนี้
แม้แต่พระเทวีฟริกกา ซึ่งโดยตำแหน่งถือเป็นราชินีแห่งอัสการ์ดก็ยังไม่ได้รับนะครับ
เมื่อทรงมีทิพยฐานะที่แตกต่างกัน
บุคลิกภาพของมหาเทวีเฟรยาในฐานะนั้นๆ ก็พลอยแตกต่างกันไปด้วย
ในฐานะเทวีแห่งความรัก พระนางทรงโดดเด่นในแง่ของความเย้ายวนน่าลุ่มหลง
ในฐานะเทวีแห่งเวทมนต์ พระนางก็ดูลึกลับและเข้าถึงได้ยาก
ขณะที่เมื่อปรากฏพระองค์ในฐานะนางพญายมวัลเคียร์ส
กระแสแห่งทิพยภาวะของพระนางจะดูทรงอำนาจและเยือกเย็น มีความน่ากลัวแฝงอยู่
ฉลองพระองค์ของมหาเทวีเฟรยา
ในฐานะนางพญาวัลเคียร์ส คือชุดนักรบ ซึ่งประกอบด้วยพระมาลาทองคำดุนลาย
มีปีกนกอินทรีสองข้างแบบเดียวกับจอมเทพโอดิน เกราะทำด้วยทองคำดุนลายปิดพระอุระ
พระวรกายช่วงบนและต้นแขน ชายเกราะด้านล่างคลุมตลอดพระโสณี
และทับกระโปรงยาวกรอมเท้าสีแดงหรือสีเขียว พระกรท่อนล่างไปถึงหลังพระหัตถ์มีสนับแขนทำด้วยแผ่นทองคำดุนลาย
และมีสนับแข้งเป็นแผ่นทองคำดุนลายเช่นกันปิดถึงหลังพระบาท
ด้านหลังคลุมพระภูษาสีน้ำเงิน สีเขียว สีทองหรือสีดำ เวลาฉลองพระองค์เช่นนี้
มักทรงถือพระแสงหอกและโล่กลมแบบนักรบไวกิ้งด้วย
มหาเทวีเฟรยาทรงมีปราสาทเป็นของพระนางเอง
คือ เซสสเรียมเนียร์ (Sessrymnir) อยู่ในท้องทุ่งที่เรียกกันว่า
โฟล์ควัง (Folkwang) เป็นที่พำนักของวิญญาณของเหล่านักรบ
ซึ่งทรงแบ่งมาครึ่งหนึ่งจากไอน์แฮร์ยาร์ทั้งหมดที่ตายอย่างกล้าหาญในสงครามแต่ละครั้งดังกล่าวมาแล้ว
นอกจากนี้
ปราสาทดังกล่าวก็ยังเป็นสถานที่ต้อนรับดวงวิญญาณของภรรยาที่ฆ่าตัวตายตามสามี
หรือตายเคียงบ่าเคียงไหล่กับสามีในการสู้รบอีกด้วย
เซสสเรียมเนียร์
จึงเป็นประจักษ์พยานของความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชายในสังคมนอร์ส
ในฐานะของความเป็นผู้กล้า ซึ่งยากจะหาได้ในวัฒนธรรมอื่น
และมหาเทวีเฟรยา
ก็ทรงปกครองทุกดวงวิญญาณในปราสาทของพระนางอย่างดีที่สุด จนกล่าวได้ว่า
เหล่าวีรชนเมื่อตายแล้วพึงหาความสุขอย่างล้นเหลือได้ในวัลฮัลลา
แต่ที่ซึ่งเป็นความผาสุกอย่างแท้จริงนั้น อยู่ในเซสสเรียมเนียร์
ของวิเศษของมหาเทวีเฟรยามีหลายสิ่ง
แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดนอกจากสร้อยบรีซิงกาเมนแล้ว ก็คือเสื้อคลุมขนนก
ฉลองพระองค์นี้บางตำรากล่าวว่า ถักทอจากขนนกเหยี่ยวสีขาว เมื่อสวมใส่แล้วมีฤทธิ์ทำให้เหาะเหินเดินอากาศได้
จึงเป็นของวิเศษอีกชิ้นหนึ่งในอัสการ์ด
เพราะเหตุว่าในเทวปกรณ์สแกนดิเนเวียนั้น
เหล่าเทพยดาถ้าไม่ทรงแปลงร่างเป็นนกเหยี่ยวหรือนกอินทรี หรือถ้ามิได้ทรงราชรถ
หรือเทพพาหนะที่พาข้ามขอบฟ้าแล้ว ก็ไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศด้วยพระองค์เอง
และก็มีเทพเพียงไม่กี่องค์เท่านั้นด้วยที่ทรงแปลงร่างได้
สำหรับมหาทวีเฟรยา
ในฐานะจ้าวแห่งมนตรา พระนางก็แปลงร่างได้เช่นกัน
แต่ก็โปรดเสื้อคลุมขนนกมากกว่าจะทรงแปลงร่างเป็นนก
เสื้อคลุมดังกล่าวนี้มีเรื่องกล่าวถึงครั้งหนึ่ง
เมื่อฆ้อนของมหาเทพธอร์ถูกขโมย และโลคีได้มายืมไปเพื่อโบยบินเข้าสู่แดนยักษ์
บางตำราก็ว่าทรงใช้เมื่อเสด็จออกตามหาพระสวามีที่หายไปด้วย
สัตว์มงคลของมหาเทวีเฟรยาก็คือ
แมว ชื่อ เบกูล และ เทรียกูล (Bygul & Trjegul) เป็นแมวตัวผู้ขนาดยักษ์ที่มีขนสีฟ้าหรือเทา มีหน้าที่ลากราชรถของพระนาง
แมวคู่นี้
มหาเทพธอร์ทรงมอบให้เป็นของขวัญในวันแต่งงานของพระนาง
สังคมนอร์สจึงมีประเพณีที่จะให้แมวแก่คู่บ่าวสาว ที่ออกเรือนใหม่นับแต่นั้น
นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า
แมวของมหาเทวีเฟรยา น่าจะ เป็นแมวป่าจำพวก ลิงซ์ (Lynx)
ชนิดที่เรียกกันว่า Caspian Tiger ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว
แมวพวกลิงซ์นี้ไม่ใช่แมวน่ารักนะครับ
แต่เป็นแมวตัวใหญ่และดุ แม้แต่เสือปลาของเราก็ยังไม่แน่ว่าจะสู้กับมันได้
นอกจากนี้
ยังแมวอีกมากที่กลาดเกลื่อนอยู่ในเซสสเรียมเนียร์และโฟล์ควัง รวมทั้งแมวดำ
ซึ่งจะปรากฏในภาคที่ทรงเป็นเทวีแห่งมนตรา โดยถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งรัตติกาลของพระนาง
มหาเทวีเฟรยายังทรงครอบครองหมูป่าวิเศษตัวหนึ่ง
เช่นเดียวกับพระเชษฐาของพระนางด้วย หมูป่านี้มีชื่อว่า ฮิลดีสวีนี (Hildisvini)
เป็นร่างแปลงของ โอททาร์ (Ottar) นักรบหนุ่มชาวมิดการ์ด
ซึ่งมีความสัมพันธ์กับพระนางนั่นเอง
ฮิลดีสวีนีไม่ใช่หมูป่าแห่งความอุดมสมบูรณ์เหมือน
กูลลีนเบอร์สตี (Gullinbersti) ของมหาเทพเฟรย์
แต่เป็นหมูป่าแห่งการศึกโดยเฉพาะ
ด้วยเหตุนี้จึงสงสัยกันว่า
เครื่องรางรูปหมูป่า หรือแม้แต่หมูป่าบนหมวกนักรบไวกิ้งที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
และผู้เชี่ยวชาญในอดีตลงความเห็นว่าเป็นสัญญลักษณ์ของมหาเทพเฟรย์นั้น จริงๆ
แล้วอาจจะเป็นฮิลดีสวีนีมากกว่ากูลลินเบอร์สตี
เหตุผลก็คือ
กษัตริย์ไวกิ้งพระองค์หนึ่งทรงตั้งชื่อหมวกเหล็กของพระองค์ว่า ฮิลดีโกลเทอร์
(Hildigoltr)
และ ฮิลดีสวีน (Hildisvin)
ทั้งสองชื่อนี้เห็นได้ชัดว่า
เป็นนามหมูป่าของมหาเทวีเฟรยา
ซี่งอาจจะมีเหตุผลเชื่อมโยงไปถีงพระนางในฐานะของนางพญาแห่งวัลคีรีส์
โดยเป็นสื่อว่า เมื่อผู้สวมใส่พลีชีพในสมรภูมิ วิญญาณของเขาก็จะได้ไปวัลฮัลลา
ในสมัยโบราณ
ชาวนอร์สมักเรียกกลุ่มดาวสำคัญกลุ่มหนึ่ง ที่สุกสว่างบนท้องฟ้าแลเห็นได้ชัดในฤดูหนาวว่า
พัสตราภรณ์ของมหาเทวีเฟรยา (Freya’s Gown)
ทุกวันนี้
เรารู้จักกลุ่มดาวนี้ในชื่อ กลุ่มดาว โอไรออน (Orion) ซึ่งในส่วนที่นิยมเรียกกันว่า เข็มขัดของโอไรออน (Belt of
Orion or Sword Belt) นั้น ชาวนอร์สก็เคยเรียกกันว่า สายคาดเอวของมหาเทวีเฟรยา
(Freya’s Girdle) ด้วย
เพราะฉะนั้น
ในทางโหราศาสตร์บางสำนัก จึงกล่าวว่ามหาเทวีเฟรยาทรงครองกลุ่มดาว Ursa
Minor ซึ่งมีกลุ่มดาวโอไรออนเป็นใหญ่ดังกล่าว
ชาวแองโกล-แซกซัน
ได้กำหนดให้วันศุกร์เป็นวันของมหาเทวีเฟรยา โดยเรียกว่า Freyjasdaeg
คำอันเป็นต้นเค้าของ Friday
ในภาษาอังกฤษนี้ ฝ่ายที่นับถือพระเทวีฟริกกา ก็อ้างว่ามาจาก Frigedaeg
และเห็นว่า ควรเป็นวันสำหรับพระเทวีฟริกกามากกว่า
แต่ในทางเทวศาสตร์
เรารู้กันแล้วว่าคติการบูชาพระเทวีฟริกกาเป็นคติที่เกิดขึ้นภายหลัง
และเทพนารีผู้เศร้าสร้อยองค์นี้ ก็ต้องทรงยืมคุณลักษณะมากมายมาจากมหาเทวีเฟรยา
เพื่อให้เรื่องราวของพระนางสมบูรณ์
ส่วนในทางโหราศาสตร์นั้น
ถือว่าดาวศุกร์เป็นสตรีเพศ เกี่ยวข้องกับความรัก การแต่งงาน ความสุขในชีวิตสมรส
ความรื่นรมย์ ศิลปะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกามารมณ์
และแม้เป็นดาวฝ่ายหญิง
ก็เป็นดาวใหญ่ฝ่ายศุภเคราะห์ มีกำลังอำนาจมาก
ถ้าดาวศุกร์ในดวงชะตาของบุคคลใดอยู่ในตำแหน่งที่ดี
บุคคลนั้นจักถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติที่กล่าวมานั้นทั้งหมด
ซึ่งก็ตรงกับคุณสมบัติของมหาเทวีเฟรยาทุกประการ
มหาเทวีเฟรยาทรงมีอักษรรูนส์ที่เกี่ยวข้องกับพระนางเช่นกัน
คืออักษร B มีชื่อเรียกในภาษายุโรปโบราณว่า เบออร์ค
(Beorc) หรือ เบอร์คานา (Berkana) ภาษานอร์สโบราณเรียกว่า บยาร์คาน (Bjarkan)
ซึ่งหมายถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่
ความสวยงาม การบำบัด ความสุขทางกามารมณ์ หญิงที่สวยงามหรือแสนดีคนหนึ่ง
และเรื่องของผู้หญิง ในพิธีบูชามหาเทวีเฟรยา ถ้าไม่มีเทวรูปของพระนางก็จะใช้อักษรรูนส์ตัวนี้แทน
ในทางเทววิทยา
เครื่องหอมและน้ำมันหอมระเหยที่สัมพันธ์กับมหาเทวีเฟรยาคือ Rose,
Rosewood, Cypress, Myrtle, Sandalwood, Mint และ Vervain
สมุนไพรที่สัมพันธ์กับพระนางคือ
Alder,
Birch, Bramble, Elder, Feverfew, Mint, Mugwort, Rose, Tansy, Thyme, Vervain,
Yarrow, Apple และ Valerian
อัญมณีและหินมีค่าที่สัมพันธ์กับพระนางคือ
อำพัน (Amber) มรกต (Emerald)
หยก (Jade) มาลาไคต์ (Malachite) และ มุกดาหาร (Moonstone)
โลหะที่สัมพันธ์กับพระนางคือทองคำ
เงินและทองแดง
อักษรรูนส์ที่สัมพันธ์กับพระนางคือ
Feoh,
Wyn, Gyfu, Ger, Peorth, Algiz, Beorc, Ing และ Daeg
และสัตว์มงคลประจำพระองค์คือ
แมว หมูป่า และหงส์
ครับ, ก็ตามที่บรรยายมาแล้ว สำหรับข้อมูลทางเทววิทยาของจอมเทพโอดิน
และมหาเทวีเฟรยา ฬี่ผมคัดมาจากหนังสือที่หาซื้อได้ยากแล้ว
และเมื่อประมลจากบทความต่างๆ
ผมโพสต์ไปแล้ว และจะโพสต์ต่อไปใน blog นี้
ก็นับว่าไม่จำเป็นนะครับ ที่ท่านจะต้องลำบากลำบนไปหาซื้อหนังสือดังกล่าวอีกต่อไป
เพราะก็อย่างที่บอก คือเนื้อหาหลายๆส่วนก็ล้าสมัย และเกินความจำเป็นไปแล้ว
เว้นแต่ว่า
ท่านจะหาซื้อเพื่อให้ได้เนื้อหาที่ครบถ้วน หรือจะสะสมให้ครบชุด เทวปกรณ์
ก็แล้วแต่ความพอใจครับ เพราะใน blog นี้
จะไม่เน้นในส่วนของเทพนิยายมากนัก
แต่ถ้าจะเอาไว้อ้างอิงในส่วนที่เป็นเทววิทยาจริงๆ ก็ตาม blog นี้ดีกว่า
สำหรับใครที่คิดระบูชาเทวรูปของจอมเทพโอดิน
และมหาเทวีเฟรยา ก็สามารถเลือกหาจากใน Google สั่งซื้อมาแล้วส่งให้ผมทำพิธี
แบบเทวศาสผตร์ไวกิ้งโบราณได้ โดยติดต่อที่ line ID :mystica4u
……………………………
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด