เทวปกรณ์ไม่ว่าในศาสนาใด
ล้วนมีลักษณะของความขัดแย้งในตัวของมันเองปะปนอยู่ครับ
ทั้งนี้ก็เพราะว่า
เป็นสิ่งที่มนุษย์เราได้ต่อเติมเสริมแต่งขึ้นจากแก่นสารแห่งความเป็นจริงดั้งเดิม
ที่มีอยู่น้อยมากนั่นเอง
เทวปกรณ์ของจอมเทพโอดินก็เช่นกัน
ล้วนเต็มไปด้วยข้อขัดแย้งที่เห็นได้ชัดมากครับ
นั่นคือ
ถ้าหากว่าพระองค์ทรงเป็นพระเป็นเจ้าผู้สร้างโลกด้วยเทวานุภาพอันมหาศาลจริงๆ
ตามที่มีการร้อยเรียงเป็นตำนานแพร่หลายกัน
แล้วเพราะเหตุใด? พระองค์จึงต้องทรงเสียสละพระองค์เองอย่างหนักหนาสาหัส
เพื่อแสวงหาญาณหยั่งรู้อนาคต และความลี้ลับของจักรวาล หรือยอมสละพระเนตรเพื่อให้ได้ความรอบรู้
ทั้งๆ
ที่ทั้งสองสิ่งนี้ควรจะมีอยู่แล้ว ในพระเป็นเจ้าองค์ใดก็ตาม
ที่ทรงมีเทวานุภาพถึงขั้นสร้างโลกทั้งหมดขึ้นมาได้ จริงมั้ยครับ?
บรรดาเรื่องเล่าของชาวนอร์ส
ที่อ้างถึงการเดินทางของพระองค์ เพื่อทอดพระเนตรความเป็นไปในมิดการ์ด ก็เช่นกัน
ที่นักเทววิทยาส่วนมากเห็นว่าไม่ใช่สิ่งจำเป็นเลยสำหรับพระเป็นเจ้าผู้สร้างมิดการ์ดขึ้นมาด้วยพระองค์เอง
เพราะในเทวตำนาน
ก็บอกอยู่แล้วว่าเพียงประทับบนลีดสคีออลฟ์
ก็ทรงรู้เห็นความเป็นไปของโลกทั้งหมดอยู่แล้วไงครับ
โดยเฉพาะอย่างน้อยก็ทรงได้รับข่าวสารทั่วโลกจากอีกาทั้งสองตลอดเวลา
เทพนิยายในสองส่วนนี้
จึงขัดกันเอง
หรือแม้แต่การที่ทรงถูกลิขิตไว้แล้วว่า
จะต้องสิ้นพระชนม์โดยพญาสุนัขป่าเฟนเรียร์ ทั้งที่ถ้าทรงเป็นบิดาแห่งสรรพสิ่ง
พระองค์ควรเป็นผู้อยู่เหนือชะตากรรมทั้งปวงมากกว่า
จริงอยู่ละครับ
ที่ยังมีอีกหลายๆ เหตุการณ์ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทรงใช้อิทธิฤทธิ์อยู่บ้าง
แต่ถ้าจะว่ากันอย่างเป็นธรรมแล้วนะครับ
ก็เป็นอิทธิฤทธิ์เพียงเล็กน้อยในระดับที่ผู้วิเศษชาวมนุษย์คนไหนก็ทำได้
ไม่ต้องถึงขนาดพระเป็นเจ้าผู้สร้างโลกในปฐมกาล
ซึ่งดูเหมือนจะสำแดงเทวานุภาพที่ในขั้นที่เหมาะสมอีกเพียงครั้งเดียวหลังจากการสร้างสรรพสิ่ง
คือการพิพากษาบุตรธิดาแห่งโลคี
ด้วยการโยนบุตรคนรอง คือ พญางูโยร์มุนกันด์ (Jormungand)
ลงไปในมหาสมุทรแห่งมิดการ์ด และโยนธิดาแห่งโลคี คือ เฮล (Hel)
ไปครองปรโลกเท่านั้น
เหตุการณ์นี้เพียงเหตุการณ์เดียวเองครับ
ที่บอกเล่าถึงมหิทธานุภาพของ “พระเป็นเจ้าผู้สร้างโลก”
อย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น
การจำแลงพระองค์ในคราบชายชราสวมหมวกปีกกว้าง สวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงินถือไม้เท้า
ก็เป็นลักษณะทั่วไปของพ่อมด หรือผู้ทรงอาคมในสมัยโบราณอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ
และการบูชายัญพระองค์เองบนพฤกษาโลก
เพื่อแสวงหาปรีชาญาณแห่งรูนส์นั้น เอ็ด ฟิทช์ (Ed
Fitch) ผู้เขียนหนังสือ The Rites of Odin ก็ชี้ให้เห็นว่า เหมือนพิธีกรรมของนักไสยเวทไซบีเรียนในสมัยโบราณ ซึ่งนิยมกระทำกันเพื่อจะเข้าถึงญาณหยั่งรู้อนาคต
หรือความลี้ลับอันสูงสุดแห่งชีวิตและความตาย
ซึ่งแม้แต่หมอผีอเมริกันอินเดียนบางเผ่าก็ปฏิบัติเช่นนี้
หน้าไพ่ The Rune จาก Viking Card ของ Gudrun G. Bergmann และ Olafur G. Gudlaugsson |
ด้วยเหตุนี้
จึงมีนักเทววิทยาสแกนดิเนเวียจำนวนมากที่คิดว่า
จอมเทพโอดินทรงเคยเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งได้ถูกยกย่องเป็นเทพเจ้าในภายหลังอย่างแน่นอน
ส่วนที่ว่าเหตุใดพระองค์จึงทรงเกี่ยวข้องกับการสร้างโลก
ก็เพราะว่าในธรรมเนียมของชนชาติต่างๆ ทั่วโลกนั้น
ย่อมมีตำนานอธิบายกำเนิดโลกและมนุษย์ไปต่างๆ กัน
และชนชาติใดนับถือเทพองค์ใดเป็นเทพสูงสุด ก็มักยกย่องให้เทพองค์นั้นเป็นพระเป็นเจ้าผู้สร้างโลกเสมอ
โดยเฉพาะการสร้างโลกของจอมเทพโอดินนั้น
เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปแล้วละครับ ว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นภายหลัง
โดยแรงบันดาลใจจากเรื่องของปฐมกาลในศาสนาคริสต์นั่นเอง
ดังนั้น
ถ้าตัดเรื่องการสร้างโลก และการลงทัณฑ์บุตรแห่งโลคีออกจากตำนานแห่งจอมเทพโอดิน
เทวปกรณ์ของพระองค์ก็จะมีเหตุมีผล และมีเนื้อหาที่สอดคล้องกันได้แทบทั้งหมดครับ
ซึ่งนั่นก็คือ
พระองค์น่าจะเคยเป็นพ่อมดผู้ทรงอาคม หรือผู้วิเศษท่านหนึ่งในยุคบรรพกาล
ซึ่งได้ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ
จนเป็นที่รู้จักในรูปลักษณ์ของชายชราที่ตาบอดข้างหนึ่งกับผ้าคลุมสีน้ำเงิน
หมวกปีกกว้างและไม้เท้า แสวงหาปรีชาญาณและความรอบรู้
ด้วยภาพจำเช่นนี้
พระองค์ทรงกระทำเรื่องต่างๆ ที่ทำให้มีคนเล่าสืบต่อกันเป็นตำนาน
และเป็นที่นับถือในฐานะจอมปราชญ์ ซึ่งอาจได้เข้าถึงความรู้แจ้งอย่างแท้จริง
จนได้เลื่อนทิพยฐานะกลายเป็นเทพเจ้าหลังจากตายไปแล้วนั่นเอง
อาจบางที
ผู้วิเศษท่านนี้จะเป็นผู้นำชาวนอร์สเผ่าใดเผ่าหนึ่งด้วย
เพราะในวัฒนธรรมนอร์สสมัยแรกๆ นั้น
ผู้นำมักเป็นทั้งนักรบและผู้วิเศษในคนคนเดียวกัน
จอมเทพโอดินทรงแสดงคุณลักษณะทั้งสองประการนี้ให้เห็นอย่างชัดเจนครับ
พระองค์ทรงเป็นนักรบที่บูชาความรู้ และยกย่องคนฉลาด ทรงทำสงครามด้วยปัญญามากกว่ากำลัง
เรื่องราวของพระองค์โดยแท้จริง
จึงไม่ใช่เรื่องของพระเป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ หากเป็นเรื่องของบุคคลยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง
ที่ทำทุกสิ่งอย่างดีที่สุด เพื่อความสำเร็จอย่างแท้จริงที่เป็นอมตะ ยิ่งกว่าการมีชีวิตยั่งยืนไปชั่วกัลปาวสาน
และเมื่อเปรียบเทียบกับความสามารถของชาวนอร์สในการถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ
โดยมุขปาฐะ ซึ่งมักจะไม่สามารถเก็บรักษาเรื่องราวที่ย้อนหลังไปไกลเกินกว่า 1,000 ปีก่อนหน้านั้นได้มากนัก
ผู้เชี่ยวชาญบางท่านจึงคิดว่า
เรื่องราวของพระองค์ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ อาจไม่เก่าแก่มากไปกว่าช่วงระยะเวลา 500-800 ปีก่อนยุคไวกิ้งด้วยซ้ำไป
บางทีอาจมีหลักฐานที่สนับสนุนความคิดนี้
ในพงศาวดารนอร์เวย์เรื่อง เฮมสครีงลา (Heimskringla) ซึ่งแต่งโดย สนอร์รี สเตอร์ลูสซัน (Snorri Sturlusson) และเป็นวรรณคดีสำคัญที่เด็กๆ ชาวนอร์เวย์ทุกคนต้องเรียนนั้น
ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า
จอมเทพโอดินคือต้นวงศ์กษัตริย์นอร์เวย์พระองค์หนึ่ง
ซึ่งมีภูมิสถานเดิมอยู่ในดินแดนแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลดำ
และบางส่วนของรัสเซีย
อนุสาวรีย์ของสนอร์รี สเตอร์ลูสซัน ที่เบอร์เกน นอร์เวย์ |
จากพงศาวดารดังกล่าว
สนอร์รีระบุไว้อย่างชัดเจนทีเดียวว่า ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำทานาอิส (Tanais)
นั้นเป็นที่ตั้งของนครอัสการ์ด
ปกครองโดยผู้นำหรือกษัตริย์ที่ทรงมีพระนามว่า โอดิน
ต่อมาเมื่อพวกโรมันแผ่อำนาจเข้าไปถึงดินแดนดังกล่าว
กษัตริย์โอดินก็อพยพผู้คนของพระองค์ทิ้งเมืองอัสการ์ด
ข้ามรัสเซียและเยอรมันมาสู่ดินแดนแถบทะเลบอลติก ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่นี่
และพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ลงที่นี่เช่นเดียวกัน
สนอร์รีกล่าวว่า
กษัตริย์โอดินพระองค์นี้แหละ ที่ทรงเป็นต้นกำเนิดของจอมเทพโอดิน
ทั้งยังอ้างด้วยว่าตัวเขาเองก็สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์พระองค์นี้
โดยเป็นทายาทรุ่นที่ 33
ธอร์
เฮเยอร์ดาห์ล (Thor Heyerdahl) นักมานุษยวิทยา และนักสำรวจชื่อดังของนอร์เวย์ ซึ่งประทับใจในพงศาวดารเฮมสครีงลามาแต่เยาว์วัย
ได้ตัดสินใจพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้
ซึ่งเขาหวังว่าจะเป็นการค้นพบทางโบราณคดีอันยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายช่วงบั้นปลายของชีวิต
ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล |
เขากล่าวว่า
แม่น้ำทานาอิสในตำนานนั้น ปัจจุบันคือแม่น้ำ ดอน (Don)
ที่ไหลลงสู่ทะเลดำ
และบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำนั้นมีเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบอยู่เมืองหนึ่ง
มีชื่อว่า อาซอฟ (Azov)
ที่จริงอาซอฟเคยเป็นเมืองท่าที่แน่นขนัดด้วยเรือและผู้คน
แต่เมื่อสายน้ำเปลี่ยนทางเดิน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปด้วย
ธอร์มาถึงเมืองนี้และลงมือทำการขุดค้นในปี
ค.ศ.2001 ด้วยการทุ่มเงินถึง 100,000 เหรียญสหรัฐ
ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของบรรดานักประวัติศาสตร์สแกนดิเนเวีย
ซึ่งเห็นว่าเฮมสครีงลาเป็นเพียงตำนานเท่านั้น
แผนที่โบราณของเมืองอาซอฟ และแม่น้ำทานาอิส |
แต่ธอร์ก็มีแนวความคิดที่น่าสนใจครับ
เขาเห็นว่าเมื่อสนอร์รีซึ่งมีชีวิตอยู่ในคริสตศตวรรษที่ 13 อ้างตนว่าเป็นทายาทรุ่นที่ 33 ของกษัตริย์โอดิน
กษัตริย์พระองค์นั้นก็ควรมีพระชนม์ชีพอยู่ในช่วง 100
ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งสอดคล้องกับระยะเวลาที่ขุนศึก ลูคุลลุส (Lucullus)
และ ปอมเปย์ (Pompey) ของโรมันเข้าไปรุกรานและยึดครองดินแดนต่างๆ
แถบทะเลดำพอดี
ในการขุดค้น
ธอร์ได้พบโบราณวัตถุสมัยโรมันเป็นจำนวนมาก และเมื่อเขาขุดลึกลงไปถึง 8 เมตร ก็ได้พบเศษภาชนะดินเผา และเศษเครื่องเงินที่มีคำนวณอายุได้ในราวๆ 100 ปีก่อนคริสตกาลจริงๆ
แต่แม้จะได้พบโบราณวัตถุที่อาจจะเก่าถึงรัชสมัยของกษัตริย์โอดินในตำนาน
นักโบราณคดีสแกนดิเนเวีย (ซึ่งก็เหมือนกับนักโบราณคดีทั่วโลก)
ก็ยังลังเลที่จะเชื่อสมมุติฐานของธอร์
ตราบใดที่ยังไม่มีการค้นพบหลักฐานที่ชี้ชัดได้มากกว่านั้น
หลายคนชี้ว่า
เป็นการยากที่จะพิสูจน์ความจริงแท้ของเฮมสครีงลา
ในเมื่อพงศาวดารดังกล่าวมีข้อขัดแย้งในตัวของมันเองมาตั้งแต่ต้น
เช่นการที่สนอร์รีระบุว่า
ประเพณีหนึ่งที่กษัตริย์โอดินนำมาจากนครอัสการ์ดแห่งลุ่มแม่น้ำทานาอิสเดิมคือ การเผาศพ
แต่จากการขุดค้นทางโบราณคดีกลับพบว่า การเผาศพเป็นธรรมเนียมเก่าแก่ของชนชาติต่างๆ
ในสแกนดิเนเวียอยู่แล้ว
และเมื่อ 2,100 ปีมาแล้ว
ซึ่งสนอร์รีอ้างว่า กษัตริย์โอดินอพยพผู้คนมาตั้งรกรากในทะเลบอลติก
ก็กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ชนชาติต่างๆ ในแถบนี้เลิกประเพณีเผาศพ หันมาใช้การฝังแทน
ปกหนังสือ โพรสเซ เอ็ดดา ฉบับพิมพ์ครั้งแรก |
นอกจากนี้
ในงานประพันธ์อีกชิ้นหนึ่งของสนอร์รี คือ โพรสเซ เอ็ดดา
ก็กลับระบุว่าถิ่นฐานเดิมของกษัตริย์โอดินคือกรุงทรอย
ซึ่งเป็นสมรภูมิครั้งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกโบราณดังที่มีการบันทึกไว้ใน มหากาพย์อีเลียด
(Iliad)
เห็นได้ชัดว่า แม้แต่สนอร์รีเองก็ยังสับสนเกี่ยวแก่ที่มาของกษัตริย์โบราณ
ซึ่งเขาอ้างไว้ในเฮมสครีงลาว่าเป็นบรรพชนของเขา
ธอร์
เฮเยอร์ดาห์ล ถึงแก่กรรมในปี 2002 เมื่อการขุดค้นฤดูกาลที่สองได้จบสิ้นลง
ทิ้งสมมุติฐานของเขา และคำบอกเล่าของ สนอร์รี สเตอร์ลูสซัน ไว้ให้เป็นเพียงปริศนาต่อไปชั่วกาลนาน
……………………………
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด