Tuesday, June 28, 2016

มหาเทพธอร์ จ้าวแห่งอสุนีบาต ผู้สังหารเหล่ายักษ์





ในลัทธิศาสนาอาซาทรู นอกจากจอมเทพโอดินและมหาเทวีเฟรยาแล้ว ไม่มีเทพองค์ใดได้รับการนับถือมากไปกว่ามหาเทพธอร์ (Thor) ผู้ทรงพลังอำนาจแห่งสายฟ้า และทรงมีพละกำลังยิ่งกว่าเทพเจ้าทั้งปวง

          มหาเทพธอร์ทรงเป็นเทพแห่งท้องฟ้า บันดาลให้เกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และสายฝน พระองค์จึงเป็นผู้นำความสมบูรณ์มาสู่ท้องทุ่ง ปศุสัตว์ ป่าไม้ ภูเขาและลำธาร ทรงเป็นหลักประกันความกินดีอยู่ดีของมวลมนุษย์ โดยเฉพาะในภูมิภาคสแกนดิเนเวียอันหนาวเหน็บเยียบเย็น แทบจะไม่มีความอุดมสมบูรณ์ใดๆ

          เทวลักษณะขององค์มหาเทพธอร์นั้นสูงใหญ่แข็งแรง พระเกศาและพระมัสสุเป็นสีแดงเพลิงอันเป็นสัญลักษณ์ของสายฟ้าแลบ พระสุรเสียงก็กังวานกึกก้อง

อย่างไรก็ดี ในยามปกติ พระองค์ทรงมีพระอารมณ์เบิกบานอยู่เสมอ ทรงโปรดปรานงานเลี้ยง การดื่มกินอย่างฟุ่มเฟือย การเล่าเรื่องสนุก พระองค์แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา และไม่ถือพระองค์แม้กับคนที่ต่ำต้อยที่สุด เพราะสำหรับพระองค์แล้วไม่มีคำว่าชนชั้นครับ




แต่ในยามศึก พระองค์จะมุ่งหน้าสู่สนามรบด้วยราชรถ และเผชิญหน้ากับศัตรูของพระองค์อย่างกระตือรือล้น พระองค์พอพระทัยในการต่อสู้ และการพิฆาตปรปักษ์ด้วยฆ้อนวิเศษของพระองค์ ยิ่งเมื่อพระองค์ทรงตะโกนด้วยความโมโห ยิ่งน่าสะพรึงกลัวราวกับเสียงฟ้าฟาด และพระมัสสุสีแดงเพลิงของพระองค์จะมีประกายไฟออกมาเป็นสายฟ้าแลบแปลบปลาบ น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก

ราชรถของมหาเทพธอร์นั้น มีความเร็วยิ่งกว่าราชรถของเทพองค์ใดในอัสการ์ด ทั้งๆ ที่ลากด้วยแพะสองตัว มีชื่อว่า ทังนอสท์ (Tanngnost) และ ทังกรีสเนียร์ (Tanngrisnir) ชาวนอร์สโบราณเปรียบเทียบว่า เสียงฟ้าร้องและฟ้าคำราม คือเสียงกีบเท้าและลมหายใจของแพะคู่นี้ เมื่อพวกมันลากราชรถขององค์เทพอสุนีบาตทะยานไปในฟากฟ้า

ยามใดที่องค์มหาเทพปรากฏพระองค์บนราชรถ ด้วยความเกรี้ยวกราดเช่นนี้ เหล่ายักษ์และอสูรทั้งปวงต่างพากันอกสั่นขวัญแขวน ส่วนพระองค์เองไม่เคยกลัวใคร แม้ในวันสิ้นโลกพระองค์ก็เข้าสู่สนามรบอย่างมุ่งมั่นและกล้าหาญ

สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของมหาเทพธอร์ คือ ฆ้อนวิเศษเมียลเนียร์ (Mjölnir) เทพอาวุธอันทรงอำนาจ ซึ่งเมื่อทรงขว้างออกไปแล้วทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง และตามด้วยฟ้าผ่าเมื่อมันกระทบจุดหมาย




ตามหลักเทวศาสตร์สแกนดิเนเวีย ฆ้อนเมียลเนียร์จึงเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครองจากเทพเจ้า นับแต่โบราณกาลมาจนทุกวันนี้ ผู้นับถือมหาเทพธอร์ย่อมสวมใส่เครื่องรางที่เป็นรูปฆ้อน เชื่อกันว่ามันจะมอบพลังอำนาจในการต่อสู้ ตลอดจนการเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันยากลำบากต่างๆ

นอกจากนี้ในพิธีแต่งงาน ฆ้อนเหล็กอันเป็นสัญลักษณ์ของมหาเทพธอร์จะถูกนำมาใช้ประกอบพิธี เพราะเหตุว่ามหาเทพธอร์ทรงมีความรักอันมั่นคงต่อ เทวีซีฟ (Sif) พระชายาของพระองค์ และพระนางก็ทรงซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียวเช่นกันครับ

แม้แต่ในเทวสถานของมหาเทพธอร์ ก็ต้องมีฆ้อนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจัดทำขึ้นอย่างประณีตเล่มหนึ่ง วางไว้สำหรับใช้ทำพิธีกรรมต่างๆ เหมือนกันทุกแห่ง ในทางเทวศาสตร์อาซาทรูนั้น ถือว่าพิธีกรรมใดๆ ที่เกี่ยวกับมหาเทพธอร์จะสำเร็จไม่ได้ หากปราศจากฆ้อนศักดิ์สิทธิ์นี้




ขณะที่จอมเทพโอดินทรงพอพระทัยในความฉลาด มหาเทพธอร์ก็ทรงโปรดปรานผู้ที่ทำงานหนัก พระองค์ทรงเป็นผู้คุ้มครองที่แข็งแกร่งสำหรับชาวไร่ชาวนาที่ขยันขันแข็ง ชาวนอร์สเชื่อกันว่า ในอาณาจักรของมหาเทพธอร์ ที่ซึ่งถูกเรียกขานว่า ธรูดวัง (Thrudwang) คือที่พำนักหลังความตายของคนเหล่านี้

อันที่จริง ไม่เพียงแต่ชาวนาเท่านั้น แม้แต่เสรีชนทุกคนที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ เมื่อตายจะได้ไปอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ เฉกเช่นวีรชนที่ได้ไปวัลฮัลลา พระองค์จะทรงดูแลพวกเขาให้ทำไร่และเลี้ยงสัตว์อย่างมีความสุข จากปราสาทที่พำนักของพระองค์ คือ ปราสาทบิลสเคียร์เนียร์ (Bilskirnir) ซึ่งอยู่ใจกลางของธรูดวัง

พระนามของมหาเทพธอร์  ได้กลายมาเป็นชื่อวันพฤหัสบดี นั่นคือ Thursday ซึ่งมาจากคำว่า Thuresdaeg ดังนั้นจึงอาจกล่าวว่า มหาเทพธอร์เปรียบเสมือนพระพฤหัสบดีในคติของชาวยุโรปเหนือ เช่นที่จอมเทพโอดินเปรียบเสมือนพระพุธ และมหาเทวีเฟรยาเปรียบเสมือนพระศุกร์ดังกล่าวมาแล้ว

การที่มหาเทพธอร์ทรงเกี่ยวข้องกับดาวพฤหัสเช่นนี้ มีนัยยะที่น่าสนใจหลายประการครับ

          กล่าวคือในทางโหราศาสตร์ ทั้งไทยและสากล ถือกันว่าดาวพฤหัสนั้นเป็นประธานฝ่ายศุภเคราะห์ คือเป็นตัวแทนของฝ่ายธรรมะ เป็นดาวพระเคราะห์ใหญ่ที่อำนวยลาภผล ความสมบูรณ์พูนสุข และแก้ไขข้อขัดข้องให้หมดไป

พลานุภาพของดาวพฤหัสนี้ยิ่งใหญ่มาก จนแม้แต่บุคคลที่ดาวพระเคราะห์อื่นๆ ในดวงชะตาส่งอิทธิพลในทางเลวร้ายทั้งหมด ถ้าดาวพฤหัสในพื้นดวงของบุคคลนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ดี บุคคลนั้นก็ยังมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้

ข้อนี้นับว่าสอดคล้องกับคุณสมบัติของมหาเทพธอร์ เพราะพระองค์ทรงเป็นเทพผู้พิทักษ์สวรรค์และโลก อีกทั้งยังทรงเป็นเทพแห่งท้องฟ้า ผู้นำความอุดมสมบูรณ์มาให้ และยังเป็นเทพผู้คุ้มครองรักษาชาวไร่ชาวนาดังกล่าวแล้ว



         
ผู้เชี่ยวชาญทางมายาศาสตร์และเทววิทยาของไทยคือ พลูหลวง ยังได้วิเคราะห์ไว้ว่า อาวุธของเทพเจ้าที่สัมพันธ์กับดาวพฤหัสบดีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น พระอินทร์ ของศาสนาพราหมณ์ จอมเทพซีอุส (Zeus) ของศาสนากรีก และ มหาเทพธอร์ ล้วนสำแดงฤทธิ์เป็นฟ้าผ่า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ คือฝนตก

ฝนตกทำให้ความแห้งแล้ง คืออสูร หรือความทุกข์ยากของมวลมนุษย์หายไป ผู้ทำการเพาะปลูกได้ชื่นบานกัน ลักษณาการเช่นนี้ก็สอดคล้องกับดาวพฤหัสบดีในทางโหราศาสตร์เหมือนกันครับ

ถ้าจะเปรียบเทียบในทางโหราศาสตร์ ว่าดาวพฤหัสมักจะหมายถึงคนที่เป็นใหญ่ องค์มหาเทพธอร์ก็ทรงมีผู้นับถือบูชาในหลายยุคหลายสมัย จนบางครั้งก็ทรงเป็นเทพเจ้าสูงสุดแทนที่จอมเทพโอดินเลยทีเดียว

เพราะขณะที่จอมเทพโอดิน ทรงได้รับการนับถืออยู่เฉพาะในหมู่คนชั้นสูง และผู้ใช้เวทมนต์ซึ่งเป็นประชากรส่วนน้อย มหาเทพธอร์ก็ทรงได้รับการบูชาในหมู่ชาวไร่ชาวนา คนเลี้ยงสัตว์ และไพร่บ้านพลเมืองซึ่งเป็นประชากรส่วนมากไงครับ

ครั้นเมื่อคริสตจักร แผ่อิทธิพลเข้าสู่ภูมิภาคสแกนดิเนเวีย เทพสายฟ้าองค์นี้จึงถูกมองว่าเป็นเพียงวีรบุรุษในตำนานพื้นเมือง และไม่มีบทบาทใดๆ ที่เป็นปฏิปักษ์กับศาสนาคริสต์ เพราะไม่ทรงเกี่ยวข้องกับไสยเวท ที่นักบวชคริสต์สมัยนั้นหวาดกลัว อย่างจอมเทพโอดินและพระเทวีเฟรยา

และในดินแดนที่มิได้ร่ำรวยอย่างยุโรปเหนือ คริสตจักรก็หวังการโอบอุ้มจากราชสำนัก มากกว่าพลเมืองที่เป็นชาวนาชาวไร่อยู่แล้ว

ดังนั้น เมื่อมีการกวาดล้างลัทธิศาสนาอาซาทรู คติการบูชามหาเทพธอร์จึงเหลือรอดมาได้มากกว่าเทพเอเซียร์องค์อื่นๆ รวมทั้งพระเป็นเจ้าอีกสององค์ดังกล่าว

นั่นก็เพราะคนธรรมดาๆ ในชนบทสามารถนับถือมหาเทพธอร์ต่อไปได้ครับ เพียงแต่ต้องระวังในการประกอบพิธีกรรม คือไม่ให้เป็นที่เปิดเผยจนล่วงรู้ไปถึงคริสตจักรเท่านั้นเอง




ที่ใดที่ห่างเหินจากอิทธิพลของคริสตจักร หรือโบสถ์ประจำท้องถิ่นไม่เข้มงวดมากนัก ชาวไร่ชาวนาจึงยังสามารถประกอบพิธีบูชามหาเทพธอร์ในวันสิ้นฤดูหนาว เพื่อขอให้พระองค์ประทานฝนมาให้ในฤดูใบไม้ผลิ และสามารถทำพิธีบูชาพระองค์เป็นการขอบคุณ เมื่อเก็บเกี่ยวได้ผลดีตามต้องการ

ในขณะที่ผู้บูชาจอมเทพโอดิน และมหาเทวีเฟรยา ต่างต้องหนีตายกันอย่างหัวซุกหัวซุน และที่เหลือรอดก็ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ กว่าจะผ่านพ้นยุคกลางของทวีปยุโรป ก็แทบไม่สามารถรักษาและสืบทอดสิ่งใดได้อีก

แต่ศาสนาคริสต์ไม่เคยกวาดล้างลัทธิศาสนาอาซาทรูไปจากโลกได้สำเร็จ ตำนานเทพเจ้าเก่าแก่ยังคงฝังลึกในจิตวิญญาณของผู้คนในสแกนดิเนเวีย หนึ่งในนั้นก็คือ เทวปกรณ์อันมีสีสันของมหาเทพธอร์ ซึ่งยังคงเล่าขานสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้ละครับ



……………………………


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด