ในลัทธิศาสนาอาซาทรู นอกจากจอมเทพโอดินและมหาเทวีเฟรยาแล้ว
ไม่มีเทพองค์ใดได้รับการนับถือมากไปกว่ามหาเทพธอร์ (Thor) ผู้ทรงพลังอำนาจแห่งสายฟ้า และทรงมีพละกำลังยิ่งกว่าเทพเจ้าทั้งปวง
มหาเทพธอร์ทรงเป็นเทพแห่งท้องฟ้า บันดาลให้เกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และสายฝน
พระองค์จึงเป็นผู้นำความสมบูรณ์มาสู่ท้องทุ่ง ปศุสัตว์ ป่าไม้ ภูเขาและลำธาร
ทรงเป็นหลักประกันความกินดีอยู่ดีของมวลมนุษย์
โดยเฉพาะในภูมิภาคสแกนดิเนเวียอันหนาวเหน็บเยียบเย็น แทบจะไม่มีความอุดมสมบูรณ์ใดๆ
เทวลักษณะขององค์มหาเทพธอร์นั้นสูงใหญ่แข็งแรง
พระเกศาและพระมัสสุเป็นสีแดงเพลิงอันเป็นสัญลักษณ์ของสายฟ้าแลบ
พระสุรเสียงก็กังวานกึกก้อง
อย่างไรก็ดี
ในยามปกติ พระองค์ทรงมีพระอารมณ์เบิกบานอยู่เสมอ ทรงโปรดปรานงานเลี้ยง
การดื่มกินอย่างฟุ่มเฟือย การเล่าเรื่องสนุก พระองค์แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา
และไม่ถือพระองค์แม้กับคนที่ต่ำต้อยที่สุด
เพราะสำหรับพระองค์แล้วไม่มีคำว่าชนชั้นครับ
แต่ในยามศึก
พระองค์จะมุ่งหน้าสู่สนามรบด้วยราชรถ
และเผชิญหน้ากับศัตรูของพระองค์อย่างกระตือรือล้น พระองค์พอพระทัยในการต่อสู้
และการพิฆาตปรปักษ์ด้วยฆ้อนวิเศษของพระองค์ ยิ่งเมื่อพระองค์ทรงตะโกนด้วยความโมโห
ยิ่งน่าสะพรึงกลัวราวกับเสียงฟ้าฟาด
และพระมัสสุสีแดงเพลิงของพระองค์จะมีประกายไฟออกมาเป็นสายฟ้าแลบแปลบปลาบ
น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก
ราชรถของมหาเทพธอร์นั้น
มีความเร็วยิ่งกว่าราชรถของเทพองค์ใดในอัสการ์ด ทั้งๆ ที่ลากด้วยแพะสองตัว
มีชื่อว่า ทังนอสท์ (Tanngnost) และ ทังกรีสเนียร์
(Tanngrisnir) ชาวนอร์สโบราณเปรียบเทียบว่า
เสียงฟ้าร้องและฟ้าคำราม คือเสียงกีบเท้าและลมหายใจของแพะคู่นี้
เมื่อพวกมันลากราชรถขององค์เทพอสุนีบาตทะยานไปในฟากฟ้า
ยามใดที่องค์มหาเทพปรากฏพระองค์บนราชรถ
ด้วยความเกรี้ยวกราดเช่นนี้ เหล่ายักษ์และอสูรทั้งปวงต่างพากันอกสั่นขวัญแขวน
ส่วนพระองค์เองไม่เคยกลัวใคร
แม้ในวันสิ้นโลกพระองค์ก็เข้าสู่สนามรบอย่างมุ่งมั่นและกล้าหาญ
สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของมหาเทพธอร์
คือ ฆ้อนวิเศษเมียลเนียร์ (Mjölnir) เทพอาวุธอันทรงอำนาจ
ซึ่งเมื่อทรงขว้างออกไปแล้วทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง
และตามด้วยฟ้าผ่าเมื่อมันกระทบจุดหมาย
ตามหลักเทวศาสตร์สแกนดิเนเวีย
ฆ้อนเมียลเนียร์จึงเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครองจากเทพเจ้า
นับแต่โบราณกาลมาจนทุกวันนี้ ผู้นับถือมหาเทพธอร์ย่อมสวมใส่เครื่องรางที่เป็นรูปฆ้อน
เชื่อกันว่ามันจะมอบพลังอำนาจในการต่อสู้
ตลอดจนการเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันยากลำบากต่างๆ
นอกจากนี้ในพิธีแต่งงาน
ฆ้อนเหล็กอันเป็นสัญลักษณ์ของมหาเทพธอร์จะถูกนำมาใช้ประกอบพิธี
เพราะเหตุว่ามหาเทพธอร์ทรงมีความรักอันมั่นคงต่อ เทวีซีฟ (Sif)
พระชายาของพระองค์
และพระนางก็ทรงซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียวเช่นกันครับ
แม้แต่ในเทวสถานของมหาเทพธอร์
ก็ต้องมีฆ้อนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจัดทำขึ้นอย่างประณีตเล่มหนึ่ง
วางไว้สำหรับใช้ทำพิธีกรรมต่างๆ เหมือนกันทุกแห่ง ในทางเทวศาสตร์อาซาทรูนั้น
ถือว่าพิธีกรรมใดๆ ที่เกี่ยวกับมหาเทพธอร์จะสำเร็จไม่ได้
หากปราศจากฆ้อนศักดิ์สิทธิ์นี้
ขณะที่จอมเทพโอดินทรงพอพระทัยในความฉลาด
มหาเทพธอร์ก็ทรงโปรดปรานผู้ที่ทำงานหนัก
พระองค์ทรงเป็นผู้คุ้มครองที่แข็งแกร่งสำหรับชาวไร่ชาวนาที่ขยันขันแข็ง
ชาวนอร์สเชื่อกันว่า ในอาณาจักรของมหาเทพธอร์ ที่ซึ่งถูกเรียกขานว่า ธรูดวัง
(Thrudwang)
คือที่พำนักหลังความตายของคนเหล่านี้
อันที่จริง
ไม่เพียงแต่ชาวนาเท่านั้น แม้แต่เสรีชนทุกคนที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์
เมื่อตายจะได้ไปอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ เฉกเช่นวีรชนที่ได้ไปวัลฮัลลา
พระองค์จะทรงดูแลพวกเขาให้ทำไร่และเลี้ยงสัตว์อย่างมีความสุข
จากปราสาทที่พำนักของพระองค์ คือ ปราสาทบิลสเคียร์เนียร์ (Bilskirnir)
ซึ่งอยู่ใจกลางของธรูดวัง
พระนามของมหาเทพธอร์ ได้กลายมาเป็นชื่อวันพฤหัสบดี นั่นคือ Thursday
ซึ่งมาจากคำว่า Thuresdaeg ดังนั้นจึงอาจกล่าวว่า
มหาเทพธอร์เปรียบเสมือนพระพฤหัสบดีในคติของชาวยุโรปเหนือ
เช่นที่จอมเทพโอดินเปรียบเสมือนพระพุธ
และมหาเทวีเฟรยาเปรียบเสมือนพระศุกร์ดังกล่าวมาแล้ว
การที่มหาเทพธอร์ทรงเกี่ยวข้องกับดาวพฤหัสเช่นนี้
มีนัยยะที่น่าสนใจหลายประการครับ
กล่าวคือในทางโหราศาสตร์ ทั้งไทยและสากล
ถือกันว่าดาวพฤหัสนั้นเป็นประธานฝ่ายศุภเคราะห์ คือเป็นตัวแทนของฝ่ายธรรมะ เป็นดาวพระเคราะห์ใหญ่ที่อำนวยลาภผล
ความสมบูรณ์พูนสุข และแก้ไขข้อขัดข้องให้หมดไป
พลานุภาพของดาวพฤหัสนี้ยิ่งใหญ่มาก
จนแม้แต่บุคคลที่ดาวพระเคราะห์อื่นๆ ในดวงชะตาส่งอิทธิพลในทางเลวร้ายทั้งหมด
ถ้าดาวพฤหัสในพื้นดวงของบุคคลนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ดี บุคคลนั้นก็ยังมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้
ข้อนี้นับว่าสอดคล้องกับคุณสมบัติของมหาเทพธอร์
เพราะพระองค์ทรงเป็นเทพผู้พิทักษ์สวรรค์และโลก อีกทั้งยังทรงเป็นเทพแห่งท้องฟ้า
ผู้นำความอุดมสมบูรณ์มาให้ และยังเป็นเทพผู้คุ้มครองรักษาชาวไร่ชาวนาดังกล่าวแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญทางมายาศาสตร์และเทววิทยาของไทยคือ
พลูหลวง ยังได้วิเคราะห์ไว้ว่า
อาวุธของเทพเจ้าที่สัมพันธ์กับดาวพฤหัสบดีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น พระอินทร์ ของศาสนาพราหมณ์
จอมเทพซีอุส (Zeus) ของศาสนากรีก และ
มหาเทพธอร์ ล้วนสำแดงฤทธิ์เป็นฟ้าผ่า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ คือฝนตก
ฝนตกทำให้ความแห้งแล้ง
คืออสูร หรือความทุกข์ยากของมวลมนุษย์หายไป ผู้ทำการเพาะปลูกได้ชื่นบานกัน
ลักษณาการเช่นนี้ก็สอดคล้องกับดาวพฤหัสบดีในทางโหราศาสตร์เหมือนกันครับ
ถ้าจะเปรียบเทียบในทางโหราศาสตร์
ว่าดาวพฤหัสมักจะหมายถึงคนที่เป็นใหญ่ องค์มหาเทพธอร์ก็ทรงมีผู้นับถือบูชาในหลายยุคหลายสมัย
จนบางครั้งก็ทรงเป็นเทพเจ้าสูงสุดแทนที่จอมเทพโอดินเลยทีเดียว
เพราะขณะที่จอมเทพโอดิน
ทรงได้รับการนับถืออยู่เฉพาะในหมู่คนชั้นสูง
และผู้ใช้เวทมนต์ซึ่งเป็นประชากรส่วนน้อย
มหาเทพธอร์ก็ทรงได้รับการบูชาในหมู่ชาวไร่ชาวนา คนเลี้ยงสัตว์
และไพร่บ้านพลเมืองซึ่งเป็นประชากรส่วนมากไงครับ
ครั้นเมื่อคริสตจักร
แผ่อิทธิพลเข้าสู่ภูมิภาคสแกนดิเนเวีย
เทพสายฟ้าองค์นี้จึงถูกมองว่าเป็นเพียงวีรบุรุษในตำนานพื้นเมือง และไม่มีบทบาทใดๆ
ที่เป็นปฏิปักษ์กับศาสนาคริสต์ เพราะไม่ทรงเกี่ยวข้องกับไสยเวท
ที่นักบวชคริสต์สมัยนั้นหวาดกลัว อย่างจอมเทพโอดินและพระเทวีเฟรยา
และในดินแดนที่มิได้ร่ำรวยอย่างยุโรปเหนือ
คริสตจักรก็หวังการโอบอุ้มจากราชสำนัก มากกว่าพลเมืองที่เป็นชาวนาชาวไร่อยู่แล้ว
ดังนั้น
เมื่อมีการกวาดล้างลัทธิศาสนาอาซาทรู
คติการบูชามหาเทพธอร์จึงเหลือรอดมาได้มากกว่าเทพเอเซียร์องค์อื่นๆ
รวมทั้งพระเป็นเจ้าอีกสององค์ดังกล่าว
นั่นก็เพราะคนธรรมดาๆ
ในชนบทสามารถนับถือมหาเทพธอร์ต่อไปได้ครับ เพียงแต่ต้องระวังในการประกอบพิธีกรรม
คือไม่ให้เป็นที่เปิดเผยจนล่วงรู้ไปถึงคริสตจักรเท่านั้นเอง
ที่ใดที่ห่างเหินจากอิทธิพลของคริสตจักร
หรือโบสถ์ประจำท้องถิ่นไม่เข้มงวดมากนัก ชาวไร่ชาวนาจึงยังสามารถประกอบพิธีบูชามหาเทพธอร์ในวันสิ้นฤดูหนาว
เพื่อขอให้พระองค์ประทานฝนมาให้ในฤดูใบไม้ผลิ
และสามารถทำพิธีบูชาพระองค์เป็นการขอบคุณ เมื่อเก็บเกี่ยวได้ผลดีตามต้องการ
ในขณะที่ผู้บูชาจอมเทพโอดิน
และมหาเทวีเฟรยา ต่างต้องหนีตายกันอย่างหัวซุกหัวซุน
และที่เหลือรอดก็ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ กว่าจะผ่านพ้นยุคกลางของทวีปยุโรป
ก็แทบไม่สามารถรักษาและสืบทอดสิ่งใดได้อีก
แต่ศาสนาคริสต์ไม่เคยกวาดล้างลัทธิศาสนาอาซาทรูไปจากโลกได้สำเร็จ
ตำนานเทพเจ้าเก่าแก่ยังคงฝังลึกในจิตวิญญาณของผู้คนในสแกนดิเนเวีย หนึ่งในนั้นก็คือ
เทวปกรณ์อันมีสีสันของมหาเทพธอร์ ซึ่งยังคงเล่าขานสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้ละครับ
……………………………
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด