ลัทธิศาสนาอาซาทรูมีการประกอบพิธีกรรมใหญ่ๆ
อยู่ 8 ครั้งในแต่ละปี เรียกว่า บล็อท (Blot)
นอกจากนี้
ยังมีพิธีกรรมปลีกย่อยซึ่งจัดขึ้นตามโอกาสต่างๆ ไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน เรียกกันว่า ซูมเบล
(Sumbel)
ก็คือเป็นพิธีเฉลิมฉลองที่จัดกันตามที่คนในครอบครัวหรือหมู่บ้านจะเห็นสมควร
พิธีกรรมในลัทธิศาสนาอาซาทรูดั้งเดิม
เท่าที่มีหลักฐานเหลืออยู่นะครับ ส่วนใหญ่เป็นพิธีสำหรับจัดกลางแจ้ง
โดยศูนย์กลางของสถานที่ประกอบพิธีกรรมนั้นคือ ต้นไม้ใหญ่เช่นต้นโอ๊ค
หรือต้นไม้จำพวกมะกอก (Ash) และก้อนหินขนาดใหญ่สำหรับเป็นแท่นบูชา
ชาวนอร์สสมัยโบราณที่อยู่รวมกันเป็นเผ่าเล็กๆ
มักจะคัดเลือกพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งไว้สำหรับประกอบพิธีเช่นนี้เป็นประจำ
โดยดูจากลักษณะและความสมบูรณ์ของต้นไม้ใหญ่ ซึ่งในที่นี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แทน
พฤกษาโลก หรือ อี๊กก์ดราซีล (Yggdrasil) ที่เป็นแกนกลางของโลก ตามคติของชาวนอร์ส
ต้นไม้ซึ่งเป็นศูนย์กลางของพิธีกรรมนี้
จะต้องมีอาณาบริเวณโดยรอบที่มากพอจุคนในชุมชนได้ทั้งหมด
พื้นที่ดังกล่าวจะได้รับการถากถางให้โล่งเตียนเป็นรูปวงกลม
บางทีก็มีการเอาหินจากลำธารบริเวณนั้นมาวางเรียงไว้โดยรอบ
จากนั้นก็ไปเที่ยวหาก้อนหินจากภูเขาใกล้เคียงมาวางใต้ต้นไม้นั้น
โดยคัดเลือกหินทั้งก้อนซึ่งมีผิวหน้าแบนเรียบ มีขนาดพอเหมาะ
เมื่อได้มาแล้วก็เอามาวางไว้ที่โคนต้นไม้สำหรับประดิษฐานเทวรูปองค์ประธาน
คือจอมเทพโอดิน
และจัดวางเครื่องตกแต่งแท่นบูชาอื่นๆ
ได้แก่โล่กลม คบเพลิง ถ้วยที่ทำจากเขาสัตว์ และดาบ เป็นต้น
ดาบเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ
ซึ่งเป็นที่พอพระทัยของเทพเจ้า ดังนั้นพิธีที่เคร่งครัดจริงๆ
จะต้องมีดาบเป็นส่วนประกอบทุกครั้ง ซึ่งก็ใช้ดาบของผู้นำชุมชนนั่นเองครับ
ภายหลังจึงมีการสร้างดาบขึ้นมาสำหรับประกอบพิธีโดยเฉพาะ
ซึ่งตรงนี้
ได้ส่งอิทธิพลไปถึง ลัทธิวิคคา (Wicca) และมายาศาสตร์ยุโรปโบราณอีกหลายสาขาเลยนะครับ
ซึ่งบรรดาพ่อมดแม่มดล้วนแต่ต้องมีดาบในการประกอบพิธีกรรมของตนทั้งสิ้น
การจัดสถานที่บูชาอีกแบบหนึ่ง
ใช้ต้นไม้และลานโล่งรูปวงกลมเป็นหลักเช่นกัน แต่แทนที่จะหาก้อนหินหรือวัสดุอื่นมาทำแท่นบูชา
กลับใช้วิธีเขียนสัญลักษณ์ของจอมเทพโอดินไว้บนผ้าหรือแผ่นหนังสัตว์
เอาไปแขวนไว้กับต้นไม้ ถือว่าเป็นตำแหน่งประธานของพิธีกรรมครับ
ส่วนสัญลักษณ์ของเทพอื่น
ก็แขวนไว้บนเสากระหนาบโคนต้นไม้ ที่โคนต้นไม้ก็เอาดาบกับถ้วยเขาสัตว์ไปวางพิงไว้
ถัดมาเบื้องหน้าต้นไม้นั้นก่อกองไฟกองหนึ่ง
แล้วปักคบเพลิงประจำทิศทั้งสี่โดยรอบลานประกอบพิธี
แบบหลังนี่เป็นการปฏิบัติบูชาอย่างง่าย
ในกรณีที่ไม่มีเทวรูป
ในวัฒนธรรมของพวกนอร์ส
เทวรูปคงเป็นของหายากครับ และเท่าที่เหลือรอดมาจนถึงยุคของเราส่วนใหญ่ทำจากโลหะที่หล่อด้วยฝีมือหยาบ และมีขนาดเล็ก
เป็นศิลปะแบบพริมิทีฟ (Primitive) เทวรูปสำหรับบูชาประจำท้องถิ่นต่างๆ
ที่แกะจากไม้หรือหินอาจมีขนาดใหญ่บ้าง แต่ก็ยังคงทำด้วยฝีมือที่หยาบเช่นกัน
นี่เป็นเรื่องที่น่าพิศวง
สำหรับนักโบราณคดี เพราะในขณะที่งานศิลปะประเภทอื่นของชาวนอร์สที่หลงเหลือมาล้วนแสดงว่า
ทำโดยช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญและมีทักษะสูง เช่น งานโลหะและเครื่องประดับต่างๆ
จนถึงงานแกะสลักไม้ตกแต่งหัวเรือที่ละเอียดประณีต แต่เรากลับไม่เคยได้พบเทวรูปดีๆ
ที่ทำไว้สำหรับบูชาเลย
ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านจึงคิดว่า
ที่จริงแล้วอาจมีการสร้างเทวรูปดีๆ อยู่บ้างเหมือนกัน
ซึ่งใช้บูชาในเมืองที่มั่นคงแล้วและมีฐานะดี รวมทั้งน่าจะมีการสร้างเทวาลัยด้วย
ซึ่งทำจากวัสดุที่ไม่คงทนถาวร เช่นไม้
เพราะจากงานนิพนธ์ชุด
Germania ของ คอร์เนลิอุส ทัคซิตุส (Cornelius Tacitus) นักปราชญ์ชาวโรมันที่เขียนขึ้นในค.ศ.98 กล่าวว่า ชนเผ่าเยอรมันนิค (ซึ่งนอร์สก็รวมอยู่ด้วย)
ในสมัยนั้นมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาและเทวสถานค่อนข้างชัดเจน
มีงานรื่นเริงและงานสำคัญทางศาสนาตลอดปี
อีกทั้งยังมีนักบวชซึ่งทำหน้าที่พยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ คอยดูแลพระเทวรูป
และประกอบพิธีกรรมด้วย
ถ้าหากว่าพวกนอร์สอยู่ในข่ายนี้
บรรดาเทวสถานและเทวรูปที่เป็นงานฝีมือชั้นสูงซึ่งพวกเขาคงทำไว้ไม่มากนักก็คงถูกทำลายไปในการสงคราม
ซึ่งสมัยนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ผู้ที่รบชนะก็มักเผาทำลายอาคารบ้านเรือนต่างๆ
ของผู้แพ้
ที่เหลือรอดมาได้ก็อาจถูกดัดแปลงเป็นโบสถ์คริสต์
ซึ่งบางแห่งมีหลักฐานว่าอาจเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปอาซาทรูมาก่อน
หรือไม่ก็ถูกเผาทิ้งไปด้วยฝีมือของนักบวชคริสต์เช่นกัน
อันที่จริง
ผู้สนใจเรื่องราวต่างๆ ของชาวนอร์ส คงทราบกันดีอยู่แล้วว่าคนเหล่านี้มีศาสนสถานซึ่งโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใคร
กล่าวคือมีลักษณะเป็นปราสาทก่อด้วยไม้ทั้งหลัง
รูปแบบสถาปัตยกรรมโดยทั่วไปเหมือนกับวัดบางแบบของชาวไทยใหญ่ทางภาคเหนือของเราไม่มีผิดครับ
ไม่ว่าจะเป็นหลังคาลดชั้น หอคอยมีหลังคายอดแหลม ช่อฟ้า
และรูปทรงอาคารที่ดูเหมือนกันแทบทุกอย่าง
รูปแบบที่พ้องกันเช่นนี้ ยังไม่มีผู้อธิบายนะครับว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ในเมื่อชาวไวกิ้งไม่เคยเดินทางมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แม้ว่าพวกเขาจะมาไกลถึงรัสเซียก็ตาม
อีกทั้งศาสนสถานแบบนี้หลังเก่าที่สุดที่เหลืออยู่ก็เก่าแก่กว่าวัดไทยใหญ่หลังเก่าที่สุดที่เรารู้จักกันมาก
และข้อสำคัญ ศาสนสถานอันมีลักษณะเฉพาะนี้ ไม่มี “เครือญาติทางสถาปัตยกรรม” ในที่อื่นใดของยุโรป
ที่เพียงพอจะสันนิษฐานว่า
เป็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นอย่างเป็นลำดับขั้นตอนในวัฒนธรรมยุโรปเลยครับ
ปัจจุบัน ศาสนสถานเหล่านี้ล้วนเป็นโบสถ์คริสต์ทั้งสิ้น
แม้บางแห่งอาจมีร่องรอยว่าเป็นเทวสถานมาก่อนแต่ก็ไม่ชัดเจน
ถึงกระนั้นเมื่อดูจากความเชี่ยวชาญในการก่อสร้างก็พอจะกล่าวได้ว่า
เป็นความรู้ที่ชาวนอร์สมีมาก่อนรู้จักศาสนาคริสต์
ดังนั้น
จึงมีผู้สันนิษฐานว่าเทวาลัยของชาวนอร์สในสมัยโบราณอาจมีรูปแบบเช่นเดียวกันนี้ก็เป็นได้นะครับ
การประกอบพิธีกรรมต่างๆ
ของพวกนอร์ส มักมีเวทมนต์เข้ามาเกี่ยวข้อง เวทมนต์และมายาศาสตร์ของชาวนอร์สมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ รูนส์ (Runes) กัลเดอร์ (Galdr)
และ ซีเธอร์ (Seidhr)
รูนส์
เป็นเทพพยากรณ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งผมเขียนถึงไปหลายบทความแล้วก่อนหน้านี้นะครับ
เป็นศาสตร์ของผู้วิเศษในวัฒนธรรมนอร์ส ซึ่งถ้าเป็นหญิงจะเรียกกันว่า เวิลวา
(Völva)
กัลเดอร์
เป็นการใช้เวทมนต์คาถาซึ่งมักอยู่ในรูปของโศลกหรือบทกวี รวมทั้งเพลงขับร้อง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของพิธีปฏิบัติบูชาในเทศกาลต่างๆ
เป็นศาสตร์แห่งพิธีกรรมในระดับชุมชนขึ้นไปครับ
เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการบวงสรวงสังเวย และการบูชายัญ
รวมทั้งการร่ายโศลกบอกเล่าเรื่องราวอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า
เพื่อปลุกปลอบกำลังใจและความกล้าหาญ
ผู้วิเศษที่ใช้กัลเดอร์
ส่วนมากจะเป็นนักปราชญ์ หรือคีตธรมาก่อน กล่าวกันว่า พลังอำนาจของกัลเดอร์นั้นมีมาก
สามารถหยุดได้แม้แต่ฝูงชนที่กำลังบ้าคลั่ง
หรือจะทำให้ฝูงชนบ้าคลั่งก็ได้ตามต้องการ
ส่วน ซีเธอร์ เป็นศาสตร์ของผู้หญิงโดยเฉพาะ
ส่วนมากใช้ปลุกเสกอาวุธ เครื่องราง และเรือรบ เพื่อให้มีพละกำลัง ความกล้าหาญ
ความคงทนต่อศาสตราวุธ ชัยชนะ และสุขภาพที่ดี
บางทีใช้ประกอบเครื่องยาสมุนไพรรักษาโรคต่างๆ
ใช้เสกเป่าให้คลอดบุตรง่าย มีแม้กระทั่งมนตราสำหรับทำเสน่ห์ หรือแปลงร่าง
มนต์ที่ใช้ในการถอดกายทิพย์ การเล่นแร่แปรธาตุสำหรับสร้างอาวุธ เครื่องราง
และใช้เพื่อเพิ่มผลิตผลทางการเกษตร
ซีเธอร์นี่ละครับ
เป็นพื้นฐานของวิชาแม่มดในยุโรปยุคกลางที่เรียกกันว่า Witchcraft
ที่ถูกพวกคริสต์โง่เง่า+ป่าเถื่อนไล่ฆ่าล้างผลาญจนยุโรปเข้าสู่ยุคมืด
แล้วในที่สุดฝรั่งก็เลยโง่เบ็ดเสร็จทั้งในด้านการใช้เวทมนต์ และวิชาสมุนไพร
(รวมทั้งล้างสมองคนทั่วโลกให้โง่ตาม) จนถึงทุกวันนี้
ในศาสตร์ทั้งสามนี้
ผู้ที่ใช้รูนส์และกัลเดอร์ จะนับถือจอมเทพโอดินเป็นบรมครู ส่วนผู้ใช้ซีเธอร์
จะนับถือมหาเทวีเฟรยาเป็นบรมครูครับ
……………………………
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
เวิลวา เท่มากค่ะ อยากเป็นขึ้นมาทันที
ReplyDeleteแต่กว่าจะเท่แบบในภาพได้ก็หืดขึ้นคอเหมือนกันครับ
Deleteซีเธอร์นี่คล้ายๆ ไสยศาสตร์ไทยมั้ยคะ
ReplyDeleteคล้ายในหลายๆ ส่วนครับ ไม่ว่าจะเป็นการเสกอาวุธ หรือเมตตามหานิยม แต่วิธีการไม่เหมือนกันครับ
Deleteคนไวกิ้งนี่เค้าก็มีศาสตร์ที่ลึกซึ้งเหมือนกันนะคะ
ReplyDeleteก็เป็นเรื่องที่แปลกครับ เพราะชื่อเสียงของพวกนี้พูดกันตรงๆ ก็คือโจรสลัด แต่ก็กลับมีอะไรที่ลึกซึ้งละเอียดอ่อนมากๆ แถมยังยกย่องเรื่องสติปัญญามาก ไม่เหมือนโจรทั่วไป
Delete